"นักสิทธิ"วิพากษ์ศาลกัมพูชา"ไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย"2นักข่าวคดีจารกรรม ทั้งที่หลักฐานไม่พอ
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวอัลจาซีรา ของกาตาร์ เสนอข่าว “Never-ending : Cambodia spy case journalists face new probe” ระบุว่า นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ตั้งคำถามถึงศาลกัมพูชา กรณีผู้พิพากษามีคำแนะนำให้ตำรวจสืบสวนใหม่อีกครั้ง หลังพบว่าหลักฐานที่มีอยู่ไม่สามารถเอาผิด ออน ชิน (Uon Chhin) และ แยง โสธริน (Yeang Sothearin) 2 นักข่าวสังกัดสำนักข่าว Radio Free Asia ที่ถูกตำรวจจับกุมในข้อหาเป็นสายลับให้ต่างชาติ
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ย. 2560 โดยตำรวจกัมพูชาเข้าจับกุมทั้ง 2 คน พร้อมของกลางเป็นอุปกรณ์สำนักงานทั่วๆ ไปอย่างโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากศาลตัดสินว่าผิดจริงทั้งคู่จะถูกจำคุกตั้งแต่ 7-15 ปี ซึ่งทั้งคู่ถูกขังอยู่ 9 เดือนก่อนได้รับการประกันตัว อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา อิม วันนัก (Im Vannak) ผู้พิพากษา ระบุว่า คดีนี้ไม่มีหลักฐานหรือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถยืนยันได้ว่าของกลางที่พบเคยถูกใช้ก่อเหตุตามข้อกล่าวหา และแนะนำให้ตำรวจดำเนินการสืบสวนใหม่อีกครั้ง
แต่คำแนะนำดังกล่าวได้ทำให้จำเลยทั้ง 2 รวมถึงนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนไม่พอใจ เนื่องจากผู้พิพากษาผู้นี้ตัดสินโดยไม่ยึดหลักที่ว่า “เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย” ซึ่งเป็นหลักสากลในกระบวนการพิจารณาคดีอาญา ว่าหากพยานหลักฐานไม่เพียงพอจะเอาผิดผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ ข้อกล่าวหาต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยผู้นั้นย่อมตกไป
จักร โสเพียบ (Chak Sopheap) ผู้อำนวยการศูนย์สิทธิมนุษยชนแห่งกัมพูชา กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับคำแนะนำของผู้พิพากษา เพราะเป้นหน้าที่ของศาลที่ต้องไปแสวงหาพยานหลักฐานว่าจำเลยผิดจริงหรือไม่ และหากหาไม่พบก็จะต้องยุติกระบวนการพิจารณาคดีกับจำเลย ทั้งนี้ สำนักข่าว Radio Free Asia ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ปิดสำนักงานในกัมพูชาเมื่อเดือน ก.ย. 2560 โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถทำงานภายใต้แรงกดดัน
รายงานของสื่อกาตาร์ กล่าวต่อไปว่า ฮุน เซน (Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้ครองอำนาจมานานกว่า 30 ปี ดำเนินการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านหรือสื่อมวลชน อีกทั้งยังกล่าวหาสหรัฐฯ ว่ามีความพยายามโค่นล้มอำนาจของตน ซึ่ง ออน และ แยง โสธริน ถูกจับกุมหลังจากต้นสังกัดถูกปิดไปแล้ว โดยอ้างว่าการส่งข้อมูลข่าวสารในกัมพูชาไปยังสำนักงานใหญ่ของ Radio Free Asia ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของสหรัฐฯ เข้าข่ายจารกรรม
ฟิล โรเบิร์ตสัน (Phil Robertson) รองผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชีย องค์กรฮิวแมน ไรท์ วอตซ์ (Human Rights Watch) กล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นช่างน่าขบขันและดูจะเป็นความพยาบาท คดีนี้เริ่มต้นก็เป็นเรื่องทางการเมือง และเมื่อไม่สามารถหาหลักฐานมาเอาผิดได้แทนที่จะยุติการพิจารณาคดี ผู้พิพากษากลับแนะนำให้ตำรวจไปทำคดีมาใหม่ ซึ่งจะทำให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 2 ต้องอยู่กับฝันร้ายอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เอีย โสพัล (Ear Sophal) ชาวอเมริกันเชื้อสายกัมพูชา ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านการทูตและกิจการระหว่างประเทศ ประจำวิทยาลัยออกซิเดนทอล สหรัฐฯ (Occidental College , USA) ให้ความเห็นว่า ทางการกัมพูชาอาจกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) ที่จะใช้มาตรการตัดสิทธิพิเศษทางการค้าโดยอ้างว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่มีปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ขณะเดียวกันทางการกัมพูชาก็ไม่อยากเสียหน้า หากปล่อยให้คดีดังกล่าวยุติไป
แยง โสธริน หนึ่งในจำเลยคดีนี้ ยืนยันว่าตนไม่รู้สึกหวาดกลัวเพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และย้ำว่าเสรีภาพมีความสำคัญกับทุกคนโดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม การไม่ยอมให้คดีสิ้นสุดย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงาน รวมถึงต่อสุขภาพจิตทั้งตัวผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัว ทั้งนี้ตนไม่สามารถไปเยี่ยมพ่อแม่ที่พักอาศัยอยู่ในประเทศเวียดนามได้
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.aljazeera.com/news/2019/08/cambodia-spy-case-journalists-face-probe-190829232426364.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี