วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เสนอข่าว “Privacy concerns as India readies facial recognition system” ระบุว่า นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แสดงความกังวลกรณีรัฐบาลอินเดียมีนโยบายติดกล้องวงจรปิดพร้อมระบบตรวจจับและวิเคราะห์ใบหน้าบุคคลทั่วประเทศ เพราะแม้มีเจตนาดีคือต้องการป้องกันอาชญากรรมรวมถึงติดตามบุคคลโดยเฉพาะเด็กๆ ที่สูญหาย แต่ก็อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้
อาภา คุปตะ (Apar Gupta) ผู้อำนวยการมูลนิธิเสรีภาพอินเตอร์เน็ต (Internet Freedom Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ในอินเดีย กล่าวว่า ระบบนี้คือการเฝ้าระวังเป็นวงกว้างโดยรวบรวมข้อมูลในที่สาธารณะทั้งที่ไม่มีเหตุจำเป็นต้องทำเช่นนั้น หากไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกำหนดขอบเขตการนำข้อมูลไปใช้ ก็จะกลายเป็นว่าระบบนี้ถูกนำไปใช้สอดส่องและควบคุมสังคม
ก่อนหน้านี้ในปี 2560 ศาลฎีกาของอินเดียได้วินิจฉัยกรณีโครงการ “อรรถา (Aadhaar)’ ที่เป็นการพัฒนาบัตรประชาชนแบบไบโอเมตทริกซ์ (Biometric) ซึ่งมีผู้กังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ว่าสิทธิในความเป็นส่วนตัวถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ครั้งนั้นไม่ได้รวมถึงโครงการระบบตรวจจับและวิเคราะห์ใบหน้าบุคคล และการเชื่อมโยงบัตรประชาชนแบบใหม่เข้ากับบัญชีสื่อออนไลน์ (Social Media)
“ดูเหมือนมีความชัดเจนมากขึ้นว่าประเด็นความมั่นคงของชาติกลายเป็นศูนย์กลางในการออกแบบนโยบาย แต่ความมั่นคงของชาติก็ไม่ควรถูกใช้เป็นเหตุผลในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เป็นเรื่องที่น่าห่วงว่าเทคโนโลยีชั้นสูงต่างๆ จะถูกใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อำนาจรัฐ มากกว่าเสริมสร้างความเข้มแข็งทางอำนาจให้กับประชาชน” คุปตะ กล่าว
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า เทคโนโลยีการตรวจจับและวิเคราะห์ใบหน้าบุคคล ได้รับการเปิดตัวในสนามบินเพียงไม่กี่แห่งในอินเดียเมื่อเดือน ก.ค. 2562 และก่อนหน้านั้นในปี 2561 มีการเริ่มใช้ในงานตำรวจกรุงนิวเดลี พร้อมกับอ้างว่าเทคโนโลยีช่วยให้สามารถตามหาเด็กหายได้ถึง 3,000 คนภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ในเวลาต่อมา องค์กร Comparitech ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิเคราะห์ประเด็นเมืองกับเทคโนโลยีระดับนานาชาติ ระบุว่า พบความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยระหว่างความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเมื่อติดกล้องวงจรปิดมากขึ้น ในกรุงนิวเดลีและเมืองเจนไน
วิดูชิ มาร์ดา (Vidushi Marda) นักกฎหมายและนักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากองค์กร Article 19 ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในอังกฤษ กล่าวว่า เทคโนโลยีการตรวจจับและวิเคราะห์ใบหน้าบุคคล พบปัญหาการระบุจัวตนที่ไม่ถูกต้องของคนผิวสี กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทำให้คนเหล่านี้สุ่มเสี่ยงถูกละเมิดสิทธิมากขึ้น อีกทั้งคำว่าความปลอดภัยจะทำให้กลายเป็นความหมายเดียวกับคำว่าจับตามอง หรือก็คือการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลเอาไว้ตลอดเวลา
อีกด้านหนึ่ง ทางการอินเดียกล่าวว่าจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีการตรวจจับและวิเคราะห์ใบหน้าบุคคลมาใช้ เพราะลำพังกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอ โดยอินเดียมีสัดส่วนตำรวจ 144 คนต่อประชากร 1 แสนคน ถือว่าต่ำที่สุดในโลกในการจัดอันดับโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวได้รับความนิยมมากขึ้นตั้งแต่การติดตามตัวผู้กระทำผิดกฎหมายไปจนถึงการเฝ้าระวังพฤติกรรมเกียจคร้านในชั้นเรียน แต่ที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา มีกฎหมายห้ามใช้เทคโนโลยีดังกล่าว และกระแสต่อต้านเทคโนโลยีนี้ได้แพร่ขยายออกไป
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.aljazeera.com/news/2019/11/privacy-concerns-india-readies-facial-recognition-system-191107152951428.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี