วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอข่าว “Hong Kong protests, cheap Chinese rivals: why Thai rice is in crisis” เมื่อ 17 พ.ย. 2562 ตามเวลาท้องถิ่น ว่า นอกจากค่าเงินบาทแข็ง กับการต้องเผชิญคู่แข่งอย่างเวียดนาม อินเดีย และจีนแล้ว เหตุประท้วงที่ยืดเยื้อยาวนานบนเกาะฮ่องกง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กระทบกับการส่งออกข้าวของไทย โดยเฉพาะข้าวมูลค่าสูง (Premium) กว่าครึ่งในฮ่องกงนั้นนำเข้าจากไทย
ใน 9 เดือนแรกของปี 2561 ไทยส่งออกข้าวไปยังฮ่องกงถึง 143,000 ตัน แต่ใน 9 เดือนแรกของปี 2562 ยอดส่งออกไปนั้นลดลงเหลือ 127,000 ตัน หรือลดลงร้อยละ 11 โดย เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ (Charoen Laothamatas) นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย อธิบายว่า ข้าวมูลค่าสูงที่ส่งออกไปนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวบนเกาะฮ่องกง แต่ไม่กี่เดือนล่าสุดพบว่ายอดการส่งออกข้าวลดลง
ซึ่งการลดลงดังกล่าวสอดคล้องกับยอดการใช้บริการร้านอาหารและโรงแรมในฮ่องกงที่ลดลงด้วย และยังกล่าวอีกว่า ในปีนี้สมาคมฯ ลดเป้าหมายการส่งออกข้าวเหลือ 8.5 ล้านตัน จากเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ที่ 9-9.5 ล้านตันตลอดมา อีกทั้งย้ำด้วยว่า 20 ปีก่อนการแข่งขันไม่มากเท่าปัจจุบัน วันนี้มีทั้งอินเดีย ปากีสถาน เมียนมาและกัมพูชา ไทยจำเป็นต้องพัฒนาพันธุ์ข้าวและลดต้นทุนการผลิตจึงจะสามารถแข่งขันได้
ขณะที่ ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ (Chookiat Ophaswongse) นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมข้าวมีความสำคัญต่อประเทศไทย เพราะมีผู้เกี่ยวข้องถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ 69 ล้านคน แต่ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้นอกจากรอและรอ แม้จะพยายามลดต้นทุนก็ยังต้องเผชิญกับทั้งค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งอาจทำให้บางคนต้องออกจากเส้นทางธุรกิจนี้
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในปี 2559 ส่วนแบ่งตลาดข้าวของไทยบนเกาะฮ่องกงสูงถึงร้อยละ 64 แต่ล่าสุดลดลงเหลือร้อยละ 52 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Chaitip บริษัทค้าข้าวเก่าแก่ที่ส่งออกข้าวไปยังฮ่องกงมานานกว่า 1 ศตวรรษ ระบุว่า เหตุประท้วงบนเกาะฮ่องกงไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรมากนักต่อการส่งออกข้าวของไทย เมื่อราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่แหล่งข่าวรายหนึ่ง ให้ความเห็นว่า ความไม่สงบบนเกาะฮ่องกงไม่น่าจะเป็นสาเหตุของการส่งออกข้าวจากไทยได้ลดลง แต่เป็นเพราะปีนี้ข้าวหอมมะลิราคาแพงขึ้นเนื่องจากภัยแล้งในประเทศไทยทำให้ชาวนาปลูกข้าวได้น้อยลง ซึ่งข้าวหอมมะลินั้นเป็นข้าวมูลค่าสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย ราคาเมล็ดพันธุ์อยู่ที่ประมาณ 39 เหรียญสหรัฐ หรือ 1,200 บาทต่อตัน แพงกว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วไปของเวียดนามครึ่งต่อครึ่ง
ทั้งนี้ รายงานของสื่อฮ่องกง ระบุว่า เกษตรกรมีความสำคัญต่อการเมืองไทยอย่างมาก เห็นได้จากความสำเร็จของ ทักษิณ ชินวัตร (Thaksin Shinawatra) และน้องสาวของเขา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (Yingluck Shinawatra) ที่ไปถึงจุดสูงสุดคือการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งคู่ได้รับการสนับสนุนจากคนในชนบทโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในยุคที่ ยิ่งลักษณ์ ใช้นโยบายรับจำนำข้าว นำเงินจากรัฐบาลไปอุดหนุนราคาให้เกษตรกร ก่อนจะจบลงด้วยการที่กองทัพทำรัฐประหารในปี 2557 และอีก 5 ปีให้หลัง ในเดือน มี.ค. 2562 ประเทศไทยจึงกลับมามีการเลือกตั้งอีกครั้ง อนึ่ง ก่อนหน้าปี 2555 ไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก กระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่ออินเดียยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกข้าวที่ไม่ใช่พันธุ์บาสมาติในปี 2554
โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคาสูงเกินจริงทำให้กระทบต่อการส่งออกข้าว มีรายงานพบข้าวค้างสต็อกมากถึง 18 ล้านตัน และเพิ่งจะส่งออกไปได้ทั้งหมดในปี 2561 ซึ่งส่งออกไปถึง 11 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายมากถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.4 แสนล้านบาท และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่กองทัพอ้างว่าจำเป็นต้องยึดอำนาจ ส่วน ยิ่งลักษณ์ ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี ในคดีจำนำข้าว
นิพนธ์ พัวพงศกร (Nipon Puapongsakorn) นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความเห็นว่า มาตรการอุดหนุนราคาผลผลิตของรัฐบาลเป็นการมองระยะสั้นเพื่อรักษาผลผลิตและการแข่งขันของภาคเกษตรไทย แต่สำหรับสิ่งที่ควรทำในระยะยาว รัฐบาลไทยควรส่งเสริมงบประมาณด้านการวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่า อันจะทำให้ข้าวไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก เห็นได้จากอินเดียและเวียดนามที่วิจัยข้าวขาวจนสามารถผลิตเพื่อการส่งออกได้ นั่นทำให้ข้าวหอมมะลิของไทยสูญเสียจุดเด่นในตลาดต่างประเทศ
โดยเฉพาะเวียดนามมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยและค่าเงินถูกควบคุม ทางรอดของไทยจึงอยู่ที่ต้องผลิตข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น ส่วนจีนนั้นมีข้าวในสต็อกกว่า 100 ล้านตัน ได้เริ่มทยอยส่งออกไปยังทวีปแอฟริกา ในปี 2561 ที่ผ่านมายอดการส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 ในจำนวนนี้ ประเทศไอวอรีโคสต์ เป็นลูกค้ารายสำคัญที่รับซื้อข้าวจากจีน
ล่าสุดรัฐบาลปัจจุบันเพิ่งจ่ายเงินในโครงการประกันราคาผลผลิตแก่เกษตรกร แต่โครงการนี้แตกต่างกับการจำนำข้าว คือรัฐจะจ่ายเงินส่วนต่างก็ต่อเมื่อราคาผลผลิตต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ ครอบคลุมข้าว 5 ชนิดหลัก รวมถึงข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียว ซึ่งขณะนี้เกษตรกรได้รับผลกระทบจากทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่ง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (Sudarat Keyuraphan) นักการเมืองคนสำคัญในพรรคเพื่อไทย อันเป็นพรรคการเมืองที่เป็นขั้วของตระกูลชินวัตร มองว่า การอุดหนุนราคาจากรัฐบาลอาจทำให้พ่อค้าคนกลางสามารถกดราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกรได้
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.scmp.com/print/week-asia/politics/article/3037976/hong-kong-protests-cheap-chinese-rivals-why-thai-rice-crisis
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี