เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 เว็บไซต์ นสพ. The New York Times สหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานพิเศษ “In Bangkok’s Fragrant Street Food, City Planners See a Mess to Clean” เมื่อ 14 ธ.ค. 2562 ตามเวลาท้องถิ่น ว่าด้วยนโยบายของภาครัฐในการที่จะไม่ให้มีผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งกระทบต่อการดำรงอยู่ของ “สตรีทฟู้ด (Street Food)” หรืออาหารริมทาง อันเป็นจุดขายของไทยในภาคการท่องเที่ยว
บทความนี้เริ่มเล่าเรื่องจากแม่ค้ารายหนึ่งที่ใช้รถเข็นขายส้มตำใน กทม. มากว่า 3 ทศวรรษ กระทั่งกลุ่มนักพัฒนาเมือง กทม. บางส่วน ที่เห็นว่าการดำรงอยู่ของหาบเร่แผงลอยนำมาซึ่งสารพัดปัญหาสังคม ตั้งแต่ความวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ อันตรายต่อสุขภาพ กลิ่นผลไม้เน่าเหม็นไปจนถึงน้ำเสียในคูคลอง ผู้ค้าส้มตำไปจนถึงก๋วยเตี๋ยวและขนมหวานมะพร้าว จึงเป็นเป้าหมายที่ต้องถูกกำจัดกวาดล้าง นักพัฒนาเหล่านี้เห็นว่า การติดตั้งเครื่องปรับอากาศในกรุงเทพฯ ด้วยห้างสรรพสินค้า ลานสเก็ตน้ำแข็ง และร้านกาแฟที่ใช้งานอินสตาแกรมได้ เป็นสิ่งที่ดูดีกว่า
Somboon Chitmani แม่ค้าขายส้มตำข้างถนนมา 36 ปีแล้วในกรุงเทพฯ เล่าว่า เธอได้ยินข่าวเรื่อง กทม. จะไม่ให้มีผู้ค้าแผงลอยหลงเหลืออีกต่อไปภายในสิ้นปี 2562 แน่นอนว่าคงประท้วงอะไรไม่ได้เพราะเป็นกฎหมาย แต่สำหรับเธอนั้นอาหารริมทางเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ หากไม่มีความรู้สึกก็จะไม่เหมือนเดิม ซึ่งข้อมูลจากเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Network of Thai Street Vendors for Sustainable Development) ระบุว่า จากเดิมมีจุดผ่อนผันที่อนุญาตให้ทำการค้าได้อย่างถูกกฎหมายจำนวน 683 จุดเมื่อ 3 ปีก่อน ปัจจุบันเหลือเพียง 175 จุดเท่านั้น
ลูกค้าหลักของ Somboon มีตั้งแต่นักศึกษา คนงานก่อสร้าง ไปจนถึงแม่บ้าน บางครั้งลูกสาวของเธอที่ทำงานในสำนักงานกฎหมายก็สั่งอาหารจากที่นี่ โดยให้วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างนำไปส่งที่อาคาร ขณะที่ลูกชายไปอยู่อาศัยในมลรัฐโคโลราโด (Colorado) หลังจบการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์จากมลรัฐอิลลินอยส์ (Illinois) และเขาไม่เคยเบื่อหน่ายกับการหาของกินบนท้องถนนในกรุงเทพฯ
สกลธี ภัททิยกุล (Sakoltee Phattiyakul) รองผู้ว่าฯ กทม. ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า กทม. ไม่ได้ต้องการกวาดล้างผู้ค้าในเป็นศูนย์ แต่การจัดระเบียบทางเท้าที่ยุ่งเหยิงนั้นเป็นการดำเนินตามแผนที่วางไว้แล้วหลายปี อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ในภาครัฐกลับพูดถึงในสิ่งที่ต่างออกไป ดังที่เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2562 กทม. เผยแพร่ข่าวสารว่าการทำความสะอาดทางเท้ากำลังก้าวไปข้างหน้า
สำหรับอาหารริมทางหรือสตรีทฟู้ดในประเทศไทย มีให้เลือกรับประทานหลากหลายชนิด ทั้งซุปต้มเลือดหมู ข้าวเหนียวกระเทียม โรตีกล้วยหอมนมข้น หรือผัดไทยและผัดหมี่ที่อัดแน่นไปด้วยมะขามและน้ำตาลปั๊บ คนไทยบางคนเห็นว่า อาหารริมทางหมายถึงการมีชีวิตรอด เนื่องจากประชากรในประเทศนี้ร้อยละ 15 อาศัยอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ และอยู่ในสังคมที่สังคมเหลื่อมล้ำมากแห่งหนึ่งของโลก พวกเขาเสียเวลาในชีวิตไปกับสภาพการจราจรอันเลวร้าย จนไม่สามารถกลับไปรับประทานอาหารกลางวันหรือแม้แต่อาหารเย็นถึงค่ำที่บ้านได้
นอกจากนี้ หลายคนยังเช่าห้องพักซึ่งไม่มีครัว ผลการศึกษาของโครงการ Beyond Food พบว่า หากมีการบังคับให้ผู้คนในกรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยนจากการบริโภคอาหารข้างถนนไปบริโภคอาหารศูนย์อาหารหรือร้านสะดวกซื้อ จะทำให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้น นั่นหมายถึงต้องทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่าครองชีพ
จอร์จ คาร์ริลโล โรดริเกซ (Jorge Carrillo Rodriguez) นักมานุษยวิทยาชาวเวเนซุเอลา ผู้ก่อตั้งโครงการ Beyond Food กล่าวว่า สำหรับสังคมไทย อาหารริมทางไม่ใช่วิถีเฉพาะของคนจนแต่เป็นของทุกคน แม้ในชุมชนแออัดคนไทยก็ยังพิถีพิถันกับเรื่องอาหารการกินเพราะพวกเขาคุ้นชินกับความหลากหลายของอาหาร ถึงกระนั้น กระทั่งบรรดาคนมีรายได้ปานกลางไปจนถึงรายได้สูง ก็ยังใช้บริการอาหารข้างถนนเฉลี่ย 8-10 มื้อต่อสัปดาห์
เรวัตร ชอบธรรม (Raywat Chobtham) ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า การกวาดล้างผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้หญิงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในประเทศไทยเป็นเพศหญิงถึงร้อยละ 80 หรือก็คือผู้หญิงนับแสนคนช่วยครอบครัวหารายได้ด้วยการทำอาหารขายบนรถเข็น
บทความเล่าต่อไปถึงตัวอย่างของ Sopa Hojkham หญิงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ของไทย เดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตอนแรกได้งานในบริษัทประชาสัมพันธ์แห่งหนึ่ง กระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทั่วทวีปเอเชียในปี 2540 หญิงรายนี้ต้องตกงาน ดังนั้นเธอจึงโทรศัพท์กลับไปที่บ้านเพื่อสอบถามถึง “สูตรลับ” ในการทำส้มตำจากผู้เป็นแม่ นับแต่นั้นมา ในแต่ละวันเธอต้องสวมแว่นตาเพื่อป้องกันไอระเหยจากพริก ในตอนเช้ามืดเธอไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบเป็นมะละกอดิบ 66 ปอนด์ และปีกไก่ 132 ปอนด์
อาหารริมทางเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นเมื่อ “Michelin guide” เริ่มติดดาวให้คะแนนร้านอาหารข้างถนน โดยเริ่มบรรจุลงในคู่มือแนะนำร้านอาหารมาตั้งแต่ปี 2560 อาทิ ตามตรอกซอกซอยในย่านไชน่าทาวน์ของกรุงเทพฯ ที่มีชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานยาวนานกว่า 3 ชั่วอายุคน มีร้านดังอย่าง “โจ๊กปรินซ์ (Jok Prince)” ร้านโจ๊กย่านบางรัก ที่นี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตรงที่ขายในตรอกที่มีกำแพงและหลังคาพร้อมด้วยหลอดไฟเรืองแสง โจ๊ก (ข้าวต้มแบบจีน) ควันและลูกชิ้น พวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ ณ ที่เดิมจนปัจจุบัน
Sarunpraphut Unhawat หลานสาวของผู้ก่อตั้งร้านโจ๊กแห่งนี้ กล่าวว่า ด้วยร้านอาหารแห่งใหม่พวกตนปลอดภัย แต่ก็ยังสงสัยว่าหากสตรีทฟู้ดถูกลบออกไปจากกรุงเทพฯ แล้วจุดขายของเมืองแห่งนี้จะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับ Nitisak Trachoo อายุ 28 ปี ลูกชายของที่มีพ่อแม่ประกอบอาชีพเข็นรถเข็นขายอาหารในกรุงเทพฯ มาถึง 27 ปี เล่าว่า เมื่อ 2 ปีก่อนในขณะที่ตนกำลังทำงานเป็นพนักงานโรงแรม พ่อแม่ได้ขอความช่วยเหลือ และนั่นทำให้ตนต้องกลับไปอยู่บนท้องถนนอีกครั้ง
ในแต่งะวัน Nitisak เทแป้งเหลวสีเขียวลงบนแม่พิมพ์รูปต่างๆ เกิดเป็นเค้กที่มีกลิ่นหอมของวานิลลาและใบเตย ซึ่งเป็นรสชาติที่พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขากล่าวว่า การเป็นพนักงานบริการเป็นงานที่ง่ายกว่ามาก แต่เมื่อพ่อแม่ขอให้มาช่วยตนก็ต้องมา เพราะนี่คือวิถีของคนไทย
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.nytimes.com/2019/12/14/world/asia/bangkok-street-food.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี