เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 2563 เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง เผยแพร่รายงานพิเศษ “The children in Bangkok who live on the street – runaways from home and the dangers they face” ว่าด้วยปัญหาเด็กเร่ร่อนในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งเบื้องหลังคือครอบครัวดั้งเดิมไม่ใช่ที่ที่สามารถอยู่อาศัยได้ เช่น พ่อแม่มีพฤติกรรมข้องเกี่ยวกับยาเสพติด เด็กๆ เหล่านี้จึงถูกผลักดันให้ออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะของเมือง
ลักขณา ศิริกาล (Lakkhana Sirikan) เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา (Mirror Foundation) กล่าวว่า ปัญหาภายในบ้าน เช่น การถูกทอดทิ้ง ถูกล่วงละเมิดและความรุนแรงในครอบครัว ทำให้เด็กเหล่านี้ต้องหนีออกมา แต่ปัญหาในโรงเรียนก็อาจเป็นอีกตัวแปรหนึ่ง อาทิ เคยพบเด็กผู้หญิงวัย 10 ปี คนหนึ่งหนีออกจากบ้านเพราะทนการถูกกดขี่ข่มเหงจากญาติๆ ราวกับเรื่องเล่าในนิทาน “ซินเดอเรลลา (Cinderella)” ไม่ไหว โดยล่าสุดเด็กอยู่ในความดูแลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เช่นเดียวกับ สมบัติ บุญงามอนงค์ (Sombat Boonngamanong) นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีอีกบทบาทหนึ่งเป็นผู้บริหารมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ในสังคมกรุงเทพฯ ครอบครัวขยายที่มีสมาชิกหลายรุ่นได้พังทลายลง เห็นได้จากเด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกกระทำความรุนแรงจากพ่อแม่มักจะไม่มีปู่ย่าตายายหรือญาติคนอื่นๆ คอยสนับสนุนช่วยเหลือ หรือผู้ปกครองที่มีฐานะไม่ดีนักต้องเผชิญกับแรงกดดันนานัปการ บางคนจึงทิ้งลูกๆ ของพวกเขาไป ทั้งนี้ข้อมูลของมูลนิธิฯ ระบุว่า ในปี 2562 มีเด็กหายไป 244 คน แต่ก็เชื่อว่ายังมีกรณีอื่นๆ อีกที่ไม่ถูกรายงาน
รายงานข่าวเล่าต่อไปถึงย่านสยามสแควร์ พื้นที่เศรษฐกิจสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ ในมุมหนึ่งยังมีคนเร่ร่อนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คนเหล่านี้มีชีวิตรอดไปวันๆ หนึ่งด้วยการขอทาน Piyabut Phailamun ชายวัย 25 ปี ซึ่งเคยใช้ชีวิตเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่ถึง 15 ปี กล่าวว่า ชีวิตบนท้องถนนมันไม่ง่าย แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ที่บ้าน เช่นเรื่องราวของตนที่หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 7 ปี ก่อนหน้านั้นตนเกิดในครอบครัวระดับล่าง พ่อเป็นคนขับรถโดยสาร ส่วนแม่นั้นก็ไม่ค่อยสนใจเด็กผู้ชาย ตนจึงถูกฝากไว้กับยาย (หรือย่า) และเมื่อใดที่ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ นอกบ้านก็จะถูกทุบตีเสมอ
เมื่อทนการถูกทุบตีจากย่า (หรือยาย) จากการที่แอบหนีไปเล่นนอกบ้านไม่ไหว คืนหนึ่งตนจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านซึ่งเป็นชุมชนแออัดริมทางรถไฟ ไปอาศัยหลับนอน ณ ท้องสนามหลวง พื้นที่ประวัติศาสตร์ของไทยแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าคือแหล่งร่วมคนเร่ร่อนจากทั่วสารทิศ แม้จะไม่ไกลจากบ้าน แต่ตนก็รู้สึกว่าเหมือนได้ไปอยู่ในโลกใบใหม่ มีเพื่อนฝูงเที่ยวเล่นสนุกสนาน มีผู้ค้าหาบเร่แผงลอยนำอาหารมาให้ และได้เงินจากผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติซึ่งตนก็นำไปเล่นเกมตามร้านอินเตอร์เน็ต
Piyabut เล่าต่อไปว่า ความเป็นเด็กทำให้การขอทานเป็นเรื่องง่าย ตำรวจก็ไม่ค่อยสนใจมากนัก การดำรงชีวิตประจำวันจะอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา นอนบนพื้นหญ้าหรือทางเท้า แต่ถ้าวันไหนมีเงินก็จะเช่าที่นอนจากผู้ประกอบการในพื้นที่ ยามฝนตกก็หลบฝนใต้สะพานหรือชายคาอาคารต่างๆ รวมถึงรับจ้างขนขยะไปทิ้งและเป็นเด็กวัดช่วยงานพระสงฆ์เพื่อแลกอาหาร ซึ่งตนไม่คิดถึงบ้าน เพราะไม่เคยมีความทรงจำดีๆ กับที่นั่นเลย
อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตเร่ร่อนย่อมมีความเสี่ยง เด็กเร่ร่อนบางคนถูกล่อลวงให้เข้าสู่วงจรอาชญากรรม เช่น ขาย “เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine)” ซึ่งเป็นยาเสพติดที่สังคมไทยเรียกกันว่า “ยาบ้า” รวมถึงลักขโมยและอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีปัญหาแสวงหาประโยชน์ทางเพศ Piyabut เล่าอีกว่า ครั้งหนึ่งตนเห็นผู้ชายแต่งตัวดีซื้อของต่างๆ ให้เด็กหนุ่มเร่ร่อน 3 คน และหลังจากนั้นตนก็ไม่เห็นเด็กหนุ่มทั้ง 3 อีกเลย
แม้คนเร่ร่อนจะถูกจดจำในสายตาคนทั่วไปในทางไม่ดีนัก เช่น บางคนมีบุคลิกก้าวร้าวรุนแรง บางคนติดยาเสพติดหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบางคนก็เข้าสู่การขายบริการทางเพศ แต่ก็มีบางคนที่เอาชนะสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของการใช้ชีวิตบนพื้นที่สาธารณะที่พร้อมจะชักจูงให้เข้าสู่ด้านมืดตลอดเวลาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังเรื่องราวของ “Ae” หนุ่มใหญ่ผู้ไม่ทราบวันเดือนปีเกิดและชื่อที่แท้จริงของตนเอง เล่าว่า ตนถูกทิ้งตั้งแต่จำความได้ โดยในช่วงแรกๆ ได้รับการดูแลจากพระสงฆ์ที่วัด
แต่เมื่อทนการถูกรังแกจากเด็กวัดคนอื่นๆ ไม่ไหว ตนก็เลือกที่จะหนีไปเริ่มต้นใหม่ ณ ท้องสนามหลวง ไม่ต่างจากคนเร่ร่อนคนอื่นๆ ในช่วงแรกๆ ก็ของานทำด้วยการขายหนังสือพิมพ์แม้เวลานั้นจะอ่านหนังสือไม่ออกเลยก็ตาม แต่บางช่วงก็เป็นโชคร้าย อาทิ เคยถูกลหลอกไปเป็นแรงงานทาสบนเรือประมงเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และใครที่มีปัญหาสามารถถูกจับโยนลงทะเลได้เพราะจะไม่มีใครรู้ ท้ายที่สุดตนจึงตัดสินใจหลบหนีและรอดชีวิตมาได้ ปัจจุบันพักอาศัยในห้องเช่าเล็กๆ และทำงานด้านมนุษยธรรมกับคนเร่ร่อนให้กับมูลนิธิกระจกเงา
รายงานข่าวยังกล่าวถึงเรื่องของ Piyabut Phailamun อีกครั้งว่า 3 ปีก่อนเขาเกือบจะตายเพราะวัณโรค เพราะการไม่มีบัตรประชาชนทำให้เข้าไม่ถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่รัฐบาลจัดให้คนไทยทุกคน แต่โชคยังดีที่มีแพทย์ท่านหนึ่งรักษาให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และด้วยความช่วยเหลือของมูลนิธิกระจกเงา ชายหนุ่มจึงตามหาผู้เป็นพ่อจนพบ โดยตอนแรกพวกเขาทั้งสองเกือบจะจำกันและกันไม่ได้
Piyabut กล่าวทิ้งท้ายว่า ณ วินาทีนั้น พ่อดูแก่มาก ส่วนพ่อก็บอกว่าคิดว่าตนตายไปแล้ว และย้อนคิดทบทวนว่าหากวันนั้นตนไม่หนีออกจากบ้านจะเป็นอย่างไร เช่น ได้เรียนหนังสือซึงจะทำให้ชีวิตมีโอกาสดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนหนุ่มใหญ่อย่าง Ae กล่าวเสริมว่า ตนมักจะบอกบรรดาคนเร่ร่อนว่าถ้าเลือกได้ก็จงกลับบ้านเสียเถิด เพราะการอยู่บนท้องถนนชีวิตย่อมสุ่มเสี่ยงกับการถูกล่วงละเมิดและหลอกลวง
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.scmp.com/print/lifestyle/family-relationships/article/3048657/children-bangkok-who-live-street-runaways-home-and
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี