วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เว็บไซต์ นสพ. Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เผยแพร่บทความ “Thailand to curb social media after shooter streamed on Facebook” ว่าด้วยกรณี จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ก่อเหตุกราดยิงจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากใน จ.นครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 ที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสังเกตว่า การที่ผู้ก่อเหตุสื่อสารผ่านเว็บไซต์สังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ค อาจเป็นโอกาสให้รัฐบาลใช้เพื่อขยายผลไปสู่มาตรการควบคุมสื่อที่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้
บทความอ้างถึงกำหนดการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-ocha) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ที่จะประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์นี้เพื่อหารือเรื่องดังกล่าวทั้งการระงับบัญชีออนไลน์ผู้ใช้งานที่ต้องสงสัย รวมถึงจำกัดการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน แต่การจำกัดการใช้งานสื่อออนไลน์นั้นนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความกระตือรือร้นที่จะควบคุมข้อมูลข่าวสาร
เหตุกราดยิงครั้งนี้ผู้เสียชีวิต 30 ศพ บาดเจ็บ 58 คน มากกว่าเหตุลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยเมื่อปี 2558 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่ควรเกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ในระหว่างการก่อเหตุ คนร้ายได้กล่าวทางวีดีโอถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ว่ารู้สึกเหนื่อยจนไม่สามารถขยับนิ้วได้อีกต่อไป ท่ามกลางข่าวลือมากมายที่ไม่สามารถยืนยันได้จากช่องทางการ ขณะที่สื่อมวลชนก็รายงานว่า ผู้ก่อเหตุมีปัญหาเรื่องเงินทองจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เริ่มต้นจากการยิงเจ้าหน้าที่ระดับสูงก่อนจะบุกเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
ระหว่างเกิดเหตุรัฐบาลได้ประสานกับเฟซบุ๊คเพื่อระงับการใช้งานบัญชีของผู้ก่อเหตุ พร้อมเตือนประชาชนที่ติดอยู่ในห้างสรรพสินค้าว่าอย่าโพสต์สิ่งใดๆ บนโลกออนไลน์เพราะอาจกระทบต่อปฏิบัติการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ เช่นเดียวกับ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ (Buddhipongse Punnakanta) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่เตือนว่าไม่ควรส่งต่อข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน อีกด้านหนึ่ง มีชายอีกคนโพสต์ข้อความอยากก่อเหตุในอีกสถานที่หนึ่งก่อนจะถูกจับกุมเมื่อ 10 ก.พ. 2563
บทความนี้ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพค่อนข้างอ่อนไหวต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงอิทธิพลของทหารที่มีต่อรัฐบาล การรัฐประหารในปี 2557 ก่อนมีการเลือกตั้งในปี 2562 ได้มอบอำนาจการควบคุมข้อมูลข่าวสารให้พลเรือน โดยจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมภายใต้กระทรวงดิจิทัลฯ มีการจับกุมผู้ที่โพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหาร รวมถึงกำหนดให้ร้านอินเตอร์เน็ตต้องจัดเก็บข้อมูลการใช้บริการของลูกค้า และเนื่องจากผู้ก่อเหตุกราดยิงเป็นทหาร อาจนำไปสู่ความไม่พอใจต่อกองทัพและนำไปสู่การปิดกั้นการรายงานเพิ่มขึ้น
อนึ่ง บทบาทของสื่อออนไลน์กับการก่อเหตุสะเทือนขวัญยังถูกพูดถึงในต่างประเทศเช่นกัน อาทิ เหตุกราดยิงในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ในเดือน มี.ค. 2562 คนร้ายมีการถ่ายทอดผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว และคลิปดังกล่าวถูกนำเสนอกว่า 4,000 ครั้งก่อนจะถูกลบ ขณะที่รัฐบาลนิวซีแลนด์สั่งระงับการเผยแพร่คลิปดังกล่าวใน 3 วันหลังเกิดเหตุ ต่อมาในเดือน เม.ย. ปีเดียวกัน รัฐบาลออสเตรเลียออกกฎหมายกำหนดให้ผู้ให้บริการสื่อออนไลน์ลบคลิปการก่อการร้ายและเนื้อหาที่น่ารังเกียจอื่นๆ ออกโดยเร็ว
หลายประเทศแสดงความกังวลกรณีองค์กรก่อการร้ายที่ใช้ช่องทางออนไลน์เผยแพร่อุดมการณ์ของกลุ่มและหาสมาชิกเพิ่ม ในเดือน พ.ค. 2562 จาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ และ เอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีฝรั่งเศส รวบรวมผู้นำรัฐบาลและผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำจัดทำ “ปฏิญญาไครสต์เชิร์ช (Christchurch Call)” ที่มุ่งมั่นกำจัดเนื้อหาของผู้ก่อการร้ายบนโลกออนไลน์ โดยมีกว่า 50 ประเทศและองค์กรร่วมลงนามแล้ว
ขอบคุณเรื่องจาก https://asia.nikkei.com/Politics/Terrorism/Thailand-to-curb-social-media-after-shooter-streamed-on-Facebook
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี