เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2563 เว็บไซต์ นสพ.South China Moring Post ของฮ่องกง เสนอข่าว “Coronavirus: Thai workers struggle to get handouts, while gold shops see rush for cash” ว่าด้วยสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยที่เดิมก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจพอสมควรอยู่แล้ว ยิ่งรัฐบาลใช้มาตรการ “ชัตดาวน์ (Shutdown)” ปิดสถานที่ต่างๆ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนเดือดร้อนยิ่งขึ้นไปอีก
Pithak Yotha เจ้าของร้านนวด Charawi ในกรุงเทพฯ เล่าว่า แต่เดิมลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน กระทั่งเมื่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มขึ้นในเดือน ม.ค. 2563 รัฐบาลจีนสั่งห้ามชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็หายไป และแม้จะปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านหมูกระทะเพื่อให้พอมีรายได้เลี้ยงลูกน้องที่เป็นแรงงานชั่วคราวจำนวน 115 คนบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเพราะผู้คนไม่ค่อยใช้จ่าย
กระทั่งเมื่อร้านต้องปิดลง พนักงานบางคนพยายามหางานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดหรือคนงานก่อสร้างแต่ไม่มีที่ใดรับ ซ้ำร้ายตนยังทราบว่าลูกน้องราว 100 คนที่ไปลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาจำนวน 5,000 บาทตามโครงการของรัฐบาล กลับถูกระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่รัฐบาลนำมาใช้คัดกรองตัดสิทธิ์ ดังนั้นตนคิดว่าระบบต้องผิดพลาดอะไรบางอย่าง
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า พนักงานนวดในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 3 แสนคน ส่วนใหญ่ได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงและไม่ได้เป็นพนักงานที่มิสิทธิ์ประกันสังคม และผู้ได้รับผลกระทบก็ไม่ได้มีเฉพาะลูกจ้าง Pithak เล่าว่า ตนเองลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์สินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SMEs) สำหรับมาชำระค่าเช่าร้านค้า แต่สุดท้ายระบบก็ล่มจากจำนวนคนที่เข้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้ตนรู้สึกไม่มั่นใจว่ารัฐบาลต้องการช่วยประชาชนจริงหรือไม่
ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หากเป็นปีก่อนๆ จะเป็นการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ของคนไทย ผู้คนจะออกมาเล่นสาดน้ำบนท้องถนนอย่างสนุกสนานและมีการกินเลี้ยงสังสรรค์ แต่ในปี 2563 ที่รัฐบาลระงับวันหยุดสงกรานต์ นอกจากจะไม่มีการเล่นสาดน้ำเพื่อระงับการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว ยังปรากฏภาพประชาชนรวมตัวกันบุกไปยังกระทรวงการคลังเพื่อเรียกร้องกรณีถูกตัดสิทธิ์มาตรการเยียวยา 5,000 บาท
ประเทศไทยนั้นมีคนทำงานราว 37.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานนอกระบบถึง 20.4 ล้านคน แรงงานกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการสั่งปิดสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านนวด-สปา ฟิตเนสและอื่นๆ เริ่มตั้งแต่กรุงเทพฯ ช่วงกลางเดือน มี.ค. 2563 ก่อนจะขยายมาตรการเดียวกันไปทั่วประเทศผ่านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อลดการรวมกลุ่มของคนให้น้อยที่สุด
ไทยนั้นมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 2,634 คน และเสียชีวิต 46 ราย ขณะที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นธุรกิจท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนรายได้ถึงร้อยละ 17 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทย ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เที่ยวบินระหว่างประเทศถูกระงับตั้งแต่ 3-30 เม.ย. 2563 แม้ผู้ประกอบการโรงแรมในหลายพื้นที่จะยังเปิดทำการ แต่ก็กำลังดิ้นรนหาเงินมาจ่ายค่าจ้างพนักงานเนื่องจากไร้แขกผู้มาพัก
ละเอียด บุ้งศรีทอง (La-erd Boongsrithong) นายกสมาคมผู้ประกอบการโรงแรมในภาคเหนือ เปิดเผยว่า ร้อยละ 90 ของโรงแรมใน จ.เชียงใหม่ ปิดตัวลงตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา บางแห่งลดค่าจ้างพนักงานลงร้อยละ 25 หรือลดลงครึ่งหนึ่ง หรือมีแม้กระทั่งให้หยุดงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง ขณะที่ อนุสรณ์ ธรรมใจ (Anusorn Tamajai) นักเศรษฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า คนทำงานในกรุงเทพฯ บางคนถูกจัดเป็นเกษตรกรเพราะเข้ามาทำงานในช่วงนอกฤดูเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยว ดังนั้นระบบต้องติดตามไม่เพียงการจ่ายเงินสด แต่ต้องเข้าให้ถึงคนที่เดือดร้อนที่สุดด้วย
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า หลังผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ต่อวันลดลงเหลือเฉลี่ย 39 คนต่อวันในช่วง 7 วันล่าสุดเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้นที่พบเฉลี่ย 100 รายต่อวัน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกำลังมองหาวิธีให้กิจกรรมต่างๆ กลับมาเปิดทำการได้อีกครั้ง อาทิ ที่ จ.นนทบุรี มีรายงานว่า ให้กิจการซ่อมโทรศัพท์มือถือกลับมาเปิดได้ในวันที่ 15 เม.ย. 2563 ส่วนที่ จ.อุดรธานี อาจผ่อนคลายมาตรการบางอย่างลงในวันเสาร์ที่ 18 เม.ย. 2563
สุพันธุ์ มงคลสุธี (Supant Mongkolsuthree) ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากยังมีการปิดกิจการต่างๆ ต่อไป คาดว่าในเดือน มิ.ย. 2563 จะมีคนตกงานถึง 7 ล้านคน ในเบื้องต้น กิจการขนส่งสินค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าและร้านตัดผม-เสริมสวย ควรกลับมาเปิดโดยเร็วที่สุดภายในสิ้นเดือน เม.ย. 2563 ภายใต้มาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเข้มงวด
ขณะที่ ศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ (Siwat Luangsomboon) นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้ความเห็นว่า ธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบควรได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดก่อนเป็นอันดับแรก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยอัตโนมัติ กระแสเงินสดอาจหมดและต้องเปิดทำการในสภาพที่ประเทศมีการว่างงานสูงและความต้องการต่ำ
รายงานของสื่อฮ่องกง ทิ้งท้ายด้วยภาพชาวไทยแห่นำทองคำและเครื่องประดับมีค่าไปขายตามร้านที่รับซื้อ สลับกับเสียงสะท้อนจากร้านทองบางแห่งที่ไม่มีเงินสดพอจะรับซื้อ พร้อมกับคำพยากรณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะถดถอยถึงร้อยละ 5.3 ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2541 ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของเอเชีย (ต้มยำกุ้ง-2540)
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-ocha) นายกรัฐมนตรีของไทย กล่าวเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2563 ว่ายังคงระมัดระวังที่จะผ่อนคลายมาตรการจำกัดกิจกรรมต่างๆ อีกทั้งขอร้องให้ประชาชนอย่ารีบกันนำทองคำไปขายเพราะร้านทองจะมีปัญหาเงินสดไม่พอรับซื้อแทน พร้อมกับกล่าวด้วยว่ารัฐบาลกำลังหาทางช่วยร้านทองที่ต้องรับมือกับคิวยาวเหยียดของประชาชนที่นำทองไปขาย
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.scmp.com/print/week-asia/economics/article/3080226/coronavirus-thai-workers-struggle-get-handouts-while-gold-shops
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี