24 เม.ย. 2563 เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอข่าว “Pandemic dims lights on Thailand's $5bn nightlife sector” ระบุว่า มาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” สั่งปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อตัดกิจกรรมที่มีผู้คนมารวมตัวกันอันเป็นช่องทางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลไทยใช้มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค. 2563 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริการภาคกลางคืนอย่างมาก โดยธุรกิจกลุ่มดังกล่าวในประเทศไทยทำรายได้ต่อปีสูงถึง 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท
Nutthapon ชายวัย 37 ปี เจ้าของสถานประกอบการแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ กล่าวว่า โควิด-19 กำลังจะฆ่าธุรกิจบาร์ นับตั้งแต่ทางการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศสั่งปิดสถานที่ต่างๆ เว้นแต่การขายอาหารสำหรับซื้อกลับบ้าน ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 2563 ก่อนถูกขยายไปทั่วประเทศในวันที่ 26 มี.ค. 2563 ทุกวันนี้ต้องนำเงินออมที่มีมาจ่ายค่าเช่าสถานที่และค่าจ้างพนักงานในร้าน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่รอดได้เกิน 2 เดือนหรือไม่
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองแสงสียามราตรีที่คึกคักที่สุดในโลก สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เคยเปรียบเทียบกรุงเทพฯ ว่าอยู่ในระดับเดียวกับเมืองลาส เวกัส รัฐเนวาดาของสหรัฐฯ บรรดาไนท์คลับและบาร์สุดหรูบนดาดฟ้าโรงแรมถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง สิ่งเหล่านี้ดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศ จนกลายเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดัน 4 ของโลก และมีนักท่องเที่ยวต่างแดนไปเยือนมากกว่าญี่ปุ่น
แต่แล้วเมื่อสถานบันเทิงถูกเชื่อมโยงกับไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะเหตุการณ์ระบาดใหญ่ช่วงกลางเดือน มี.ค. 2563 นำไปสู่มาตรการสั่งปิดของทั้งผู้บริหารกรุงเทพฯ และรัฐบาลกลางของไทย รวมถึงยังสั่งห้ามผู้คนรวมตัวกันและออกจากบ้านในยามค่ำคืน (เคอร์ฟิว-Curfew) จนกลายเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและคนวัยหนุ่ม-สาว ในเบื้องต้นประกาศสั่งปิดสถานที่ต่างๆ จะสิ้นสุดในสิ้นเดือน เม.ย. 2563 แต่มาตรการเคอร์ฟิวยังไม่แน่ชัดว่าจะเลิกใช้เมื่อใด ผู้จัดการบาร์รายหนึ่ง ระบุว่า หากต้องปิดต่อไปอีก 1 เดือน ต้องใช้เวลาฟื้นฟูธุรกิจราว 3-6 เดือน
และแม้รัฐบาลจะมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) การหักค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานและลดเงินสมทบกองทุนประกันสังคม แต่ธุรกิจกลางคืนกำลังจะพังทลายเพราะไม่สามารถหาเงินทุนได้อีกต่อไป รวมถึงผู้หญิงที่ทำงานในย่านกลางคืนก็ไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการเยียวยาของรัฐ การถูกเลิกจ้างยิ่งทำให้ชีวิตคนเหล่านี้สิ้นหวัง
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า มีสื่อท้องถิ่นบางสำนักของไทยพาดหัวข่าว “จะช่วยคนแก่หรือช่วยเศรษฐกิจ (Save the old or save the economy?)” เนื่องจากมีข้อถกเถียงว่าจะเลือกทางใดระหว่างมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ที่มีประสิทธิภาพในการลดการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเป็นห่วงกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัว) กับการยอมให้กิจกรรมต่างๆ กลับมาดำเนินการเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้โดยแลกกับความเสี่ยงการระบาดของโรค
อนึ่ง ที่ผ่านมามีบาร์บางแห่งพยายามนำเสนอนวัตกรรมเพื่อรักษาธุรกิจของตนไว้ เช่น ค็อกเทลในบรรจุภัณฑ์สุญญากาศ แต่เมื่อรัฐบาลประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่วันที่ 10-30 เม.ย. 2563 ความคิดสร้างสรรค์ทำนองนี้ก็ถูกตัดออกไปขณะที่ธุรกิจต้องเผชิญผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งนี้ แม้ความสำคัญของเศรษฐกิจกลางคืนจะมองไม่เห็นอย่างชัดเจน แต่ก็มีส่วนร่วมในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม มีความหวังว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเยือนหลังสิ้นสุดมาตรการล็อกดาวน์ ไม่เช่นนั้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบก็คงยังเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก รุ่งอรุณที่มาถึงล่าช้าทำให้ใครหลายคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี