สหรัฐติดไวรัสทะลุ1ล้านคน
‘ฮ่องกง’ให้ขรก.เริมทำงาน
ผู้นำสหรัฐเผยอาจจะเรียกร้องค่าเสียหายจากจีนที่ปล่อยเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพร่ระบาดไปทั่วโลกขณะที่สหรัฐมีผู้ติดเชื้อโควิด-19ทะลุเกิน 1 ล้านรายแล้ว ส่วนยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่เกือบ 57,000 ราย พร้อมปฏิเสธรับผิดชอบกรณีมีประชาชนโทรศัพท์สายด่วนฉุกเฉินหลายร้อยครั้งเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฉีดยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังเขาเสนอไปก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 28 เมษายน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่ารู้สึกไม่พอใจจีนตลอดจนสถานการณ์โดยรวมและว่ารัฐบาลสหรัฐอาจจะเรียกร้องค่าเสียหายจากจีนกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่นของจีน เพราะเห็นว่ารัฐบาลจีนไม่ได้ยับยั้งการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงทีจนทำให้โรคเกิดการแพร่ระบาดและสร้างความเสียหายไปทั่วโลก นายทรัมป์ กล่าวว่าถ้ารัฐบาลจีนทำการยับยั้งการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงทีสถานการณ์ก็จะไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ โดยจนถึงขณะนี้ สหรัฐยังคงมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ล่าสุด มีผู้ติดเชื้อเพิ่มกว่า 23,000 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทะลุเกิน 1 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกเกือบ 1,400 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่เกือบ 57,000 ราย ส่วนยอดผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วอยู่ที่เกือบ 140,000 ราย
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่า มีการโทรศัพท์สายด่วนฉุกเฉินหลายร้อยครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับกรณีที่เขาเสนอไปก่อนหน้านี้ให้มีการฉีดยาฆ่าเชื้อโควิด-19 โดยเขาบอกว่าเขาคิดไม่ถึงในเรื่องนี้ พร้อมปฏิเสธที่จะรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้นด้วย โดยทรัมป์ออก มาเสนอแนะเรื่องนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังมีเจ้าหน้าที่เสนอผลการวิจัยของรัฐบาลที่ชี้ว่าสารฟอกขาวสามารถฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งทรัมป์บอกว่าเขาแค่พูดว่ามีทางที่จะฆ่าเชื้อได้ด้วยการฉีดเข้าไปในร่างกาย หรือใช้ทำความสะอาดหรือไม่ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นแค่คำถามเหน็บแนมบรรดาผู้สื่อข่าวเพื่อต้องการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐก็พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ แม้ว่าเวลานี้รัฐบาลจะยังไม่มีคำสั่งให้เปิดเศรษฐกิจทั้งประเทศแต่หลายรัฐก็เริ่มเปิดเศรษฐกิจกันแล้ว ขณะที่รัฐบาลก็พยายามเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อให้ครอบคลุมได้ตามเป้าโดยแต่ละรัฐจะต้องตรวจให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 2.6 ของจำนวนประชากรแต่ในรัฐที่มีการแพร่ระบาดรุนแรงจะต้องตรวจให้ได้ถึง 2 เท่าจากปกติ
ส่วนที่รัฐนิวยอร์กซึ่งเป็นที่แพร่ระบาดรุนแรงที่สุดและเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐ กล่าวว่า จะยังไม่มีมาตรการผ่อนคลายในเวลานี้ และจะใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อไปจนถึงวันที่ 15 เดือนหน้า เนื่องจากยังมีผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังบอกด้วยว่าอาจขยายเวลาใช้มาตรการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ออกไปอีกหากสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ ขณะที่รัฐนิวยอร์กมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17,000 คน
ขณะที่นายเกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีผู้คนจำนวนมากเดินทางไปพักผ่อนที่ชายหาดฮันติงตันกันอย่างแน่นขนัดเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทางการท้องถิ่นในพื้นที่ใกล้เคียงต้องประชุมด่วน เพื่อหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี หลายประเทศยังเดินหน้าปลดล็อคมาตรการปิดเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวานนี้ ชาวนิวซีแลนด์ประมาณ 400,000 คนกลับมาทำงานแล้ว หลังจากนายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ลดระดับการปิดเมืองจาก 4 เป็น 3 คลายมาตรการจำกัดการเดินทางที่ทำให้ธุรกิจปิดมาร่วมเดือน หนังสือพิมพ์นิวซีแลนด์เฮรัลด์รายงานว่า หน้าร้านอาหารจานด่วนในกรุงเวลลิงตันและเมืองออกแลนด์มีคนขับรถไปต่อแถวรอยาวเหยียดตั้งแต่เช้ามืด บางคนบอกว่าสั่งซื้อมาเต็มที่ให้หายอยากแม้ว่ารับประทานไม่หมด ชาวนิวซีแลนด์ทั้งประเทศ 5 ล้านคนยอมปฏิบัติตามมาตรการปิดเมืองเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเมื่อนายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นสั่งปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ขณะนี้รัฐบาลจะต้องหาทางฟื้นเศรษฐกิจมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.9 ล้านล้านบาท) ที่พึ่งพาการค้าการท่องเที่ยวเป็นหลัก ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกันยายนนี้
ขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของออสเตรเลียประกาศจะผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายประชากร โดยจะอนุญาตให้ประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ 2 คนไปเยี่ยมบ้านอื่นได้ ตั้งแต่วันศุกร์นี้ โดยจะอนุญาตให้เด็กๆ ไปกับผู้ใหญ่ได้ด้วย ซึ่งถือเป็นการผ่อนคลายนโยบายให้อยู่แต่ในบ้าน และห้ามการเคลื่อนย้ายที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ทางรัฐได้ขอให้คนที่รู้สึกไม่สบายอยู่แต่ในบ้าน ออสเตรเลียได้ปิดพรมแดนระหว่างรัฐและระหว่างประเทศ รวมถึงกำหนดให้ปิดกิจการก่อนเวลา และออกระเบียบเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวดจนสามารถหลีกเลี่ยงการมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และขณะนี้หลายรัฐของออสเตรเลียเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัด หลังจากอัตราการติดเชื้อใหม่ในท้องถิ่นลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 1% ต่อวัน จากที่เคยมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นถึง 25% ต่อวันเมื่อเดือนที่แล้ว
ส่วนที่ฮ่องกง นางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงเปิดเผยว่า จะให้ข้าราชการพลเรือนส่วนใหญ่ ค่อยๆ กลับเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป หลังจากฮ่องกงไม่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเป็นวันที่สองติดต่อกัน และในวันจันทร์หน้ายังจะมีการเปิดสนามกีฬากลางแจ้ง ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์ด้วย แต่จะยังคงห้ามไม่ให้จับกลุ่มกันเกิน 4 คน ซึ่ง
มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นี้ ยังช่วยลดการชุมนุมประท้วงลงด้วย ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลท้องถิ่นฮ่องกงเปิดเผยว่า อาจขยายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและจำกัดการท่องเที่ยวออกไปจนถึงวันที่ 7 พฤษภาคมเป็นอย่างน้อย ขณะที่สิ่งสำคัญอีกประกาศที่ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงต้องพิจารณาก็คือ จะผ่อนปรนข้อจำกัดในการเดินทางข้ามพรมแดน กับจีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่ หลังจากการระบาดในจีนอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับจนถึงเย็นวันที่ 28 เมษายน 2563 ตามเวลาในประเทศไทย พบว่า ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ 3,077,140 ราย เสียชีวิต 211,961 ราย รักษาจนหายป่วยแล้ว 925,901 ราย ประเทศสหรัฐอเมริกา ติดเชื้อ 1,010,507 ราย เสียชีวิต 56,803 ราย สเปน ติดเชื้อ 229,422 ราย เสียชีวิต 23,251 ราย อิตาลี ติดเชื้อ 199,141 ราย เสียชีวิต 26,977 ราย ฝรั่งเศส ติดเชื้อ 165,824 ราย เสียชีวิต 23,293 ราย เยอรมนี ติดเชื้อ 158,758 ราย เสียชีวิต 6,126 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี