วันที่ 13 พฤษภาคม 2563 องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) เผยแพร่รายงานเรื่อง “การใช้สารเสพติด: ผลกระทบต่อประชาชนจากการปราบปรามยาเสพติดในกัมพูชา (Substance abuses: The human cost of Cambodia’s anti-drug campaign)” ระบุว่า นโยบายสงครามปราบปรามยาเสพติด ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาใช้มานานถึง 3 ปี นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดได้แล้ว ยังก่อปัญหาอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วยทั้งด้านสิทธิมนุษยชนและสาธารณสุข
นิโคลัส เบเคลัง ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า สงครามปราบปรามยาเสพติดของกัมพูชาเป็นหายนะที่ไม่รับการบรรเทา เป็นรูปแบบการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ และเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมที่มีรายได้น้อย สามารถทุจริตได้อย่างแพร่หลาย โดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดต่อการสาธารณะสุขและความปลอดภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา ได้เริ่มรณรงค์ปราบปรามยาเสพติดตั้งแต่เดือน ม.ค. 2560
โดยสอดคล้องกับแนวทางของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ ที่ไปเยือนกัมพูชาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ผู้นำทั้งสองต่างประกาศความร่วมมือต่อต้านยาเสพติด จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐ การรณรงค์ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการเสพและอันตรายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในกัมพูชา ทั้งนี้โดยการจับกุมผู้เสพยาเสพติดจำนวนมาก เมื่อเดือน มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา ซาร์เข่ง รัฐมนตรีมหาดไทยเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับผู้เสพยาและผู้ค้ายารายย่อยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสพและการจำหน่ายทุกคน
“เช่นเดียวกับสิ่งที่เรียกว่าสงครามปราบปรามยาเสพติดของฟิลิปปินส์ การปราบปรามยาเสพติดของกัมพูชาเต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยมีเป้าหมายเป็นคนจนและคนชายขอบ และไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาเป็นผู้เสพยาหรือไม่ การใช้แนวทางมิชอบเพื่อลงโทษผู้เสพยาไม่เพียงเป็นสิ่งที่ผิด หากยังไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ถึงเวลาแล้วที่ทางการกัมพูชาต้องรับฟังหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอย่างแพร่หลาย ซึ่งต่างชี้ให้เห็นว่าการรณรงค์โดยใช้กฎหมายในเชิงลงโทษ กลับยิ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคมเพิ่มขึ้น” นิโคลัส ระบุ
รายงานฉบับดังกล่าวของแอมเนสตี้ฯ กล่าวถึงการพูดคุยกับเหยื่อการปราบปรามยาเสพติดอย่างไร้มนุษยธรรมของกัมพูชาหลายสิบคน พวกเขาบอกว่า ต้องตกเป็นเหยื่อของระบบการลงโทษที่คู่ขนานกัน บางส่วนถูกควบคุมตัวโดยพลการและไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ ในศูนย์บำบัดยาเสพติด ส่วนคนอื่นถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดตามระบบยุติธรรมทางอาญา และถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องและชัดเจน ระหว่างการละเมิดกระบวนการอันควรตามกฎหมาย อันเป็นเหตุให้บุคคลถูกคุมขัง กับแนวทางที่ปราศจากเอกภาพในการพิจารณาว่า บุคคลใดควรถูกดำเนินคดีอาญา หรือถูกส่งตัวเข้าศูนย์บำบัดยาเสพติด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งในบางครั้งมีการรับเงินสินบน สามารถใช้ดุลพินิจตัดสินใจเองว่า ใครจะต้องถูกปฏิบัติอย่างไร
ดังเช่นกรณีของ สบเพียบ อายุ 38 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นลักษณะการปฏิบัติโดยพลการของการปราบปรามยาเสพติดครั้งนี้ เธอเริ่มจากการเสพยาบ้าเป็นครั้งคราวช่วงต้นปี 2560 หกเดือนต่อมาในเดือน ต.ค. 2560 เธอถูกจับกุมระหว่างการกวาดล้างยาเสพติดพร้อมกับเพื่อนบ้านอีกสองคนอายุ 16 และ 17 ปี โดยตอนที่ตำรวจจับกุมนั้นไม่มียาเสพติดเหลืออยู่แล้ว มีอยู่แต่ขวดเปล่า ไฟแช็ก และอุปกรณ์การเสพที่วางเกลื่อนกลาด ในตอนแรกบอกว่าจะส่งเข้าศูนย์บำบัด แต่กลับนำตัวไปที่ศาลและส่งเข้าเรือนจำ
หลายคนบอกว่า พวกเขาถูกควบคุมตัว หลังจากตำรวจบุกเข้ามาตรวจย่านชุมชนคนยากจน หรือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับภูมิทัศน์ของเมือง ส่งผลให้คนจนจำนวนมากต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ต้องต่อสู้กับภาวะพึ่งพายาเสพติด ซึ่งทำให้เสี่ยงจะถูกจับกุม อาทิ สะเรเนียง หญิงวัย 30 ปีจากกรุงพนมเปญ ให้ข้อมูลว่า เธอถูกทรมานหลังถูกจับกุมโดยพลการระหว่างการบุกตรวจค้นกรณียาเสพติดในพนมเปญ โดยถามว่าขายยาไปกี่ครั้งแล้ว และขู่ว่าหากไม่ยอมสารภาพจะทรมานด้วยการใช้ไฟฟ้าช็อตอีก
คนที่ถูกฟ้องในคดีอาญาให้ความเห็นตรงกันว่า กระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับพวกเขาไม่สอดคล้องกับสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมเลย ศาลตัดสินว่ามีความผิดตามพยานหลักฐานที่อ่อนแอและบกพร่อง และยังเป็นการไต่สวนแบบรวบรัด โดยจำเลยไม่มีทนาย จำเลยหลายคนแทบไม่ทราบเกี่ยวกับสิทธิของตนเองเลย ส่งผลให้เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
วุทที ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งมีอายุเพียง 14 ปีขณะถูกจับกุม หลังถูกจับระหว่างการตรวจค้นยาเสพติด เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายซ้อม ถูกดำเนินคดีข้อหาจำหน่ายยาเสพติด เขาอธิบายถึงการสอบสวนและการพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นว่า ตนไม่เข้าใจกระบวนการที่เกิดขึ้น ไม่เข้าใจว่าการไปศาลแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างไร เพิ่งเริ่มเข้าใจเป็นครั้งแรกตอนที่พวกเขาบอกว่าตนต้องติดคุก ไม่เคยมีใครถามว่าตนมีทนายความหรือไม่ ไม่เคยมีใครจัดทนายให้
และแม้นโยบายสงครามยาเสพติดในกัมพูชาเดิมตั้งเป้าหมายว่าใช้เพียง 6 เดือนนับจากเดือน ม.ค. 2560 แต่กลับดำเนินการต่อมาจนถึงปัจจุบัน จนเกิดปัญหาความแออัดในเรือนจำและศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเป็นการละเมิดอย่างรุนแรงต่อสิทธิด้านสุขภาพของผู้ถูกควบคุมตัว โดยมักมีลักษณะเป็นการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
จนถึงเดือน มี.ค. 2563 จำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 78 โดยมีจำนวนมากกว่า 38,990 คน นับแต่เริ่มรณรงค์ปราบปรามยาเสพติด ที่เรือนจำ CC1 ของกรุงพนมเปญซึ่งนับเป็นเรือนจำใหญ่สุดของกัมพูชา มีนักโทษเกินกว่า 9,500 คน เกือบห้าเท่าของปริมาณที่รองรับได้ซึ่งอยู่ที่ 2,050 คน สถานการณ์เช่นนี้ ควรเป็นเหตุให้ทางการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อคลายความแออัดยัดเยียดของศูนย์บำบัดยาเสพติด
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รวมทั้งให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังโดยปราศจากเหตุผลทางกฎหมายที่เพียงพอ อย่างเช่น คนที่ถูกควบคุมตัวในศูนย์บำบัดยาเสพติด และอาจพิจารณาให้มีการลดโทษ การปล่อยตัวก่อนกำหนดหรือการปล่อยตัวอย่างมีเงื่อนไข และมาตรการทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่การควบคุมตัว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เสี่ยงภัยอย่างมากต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
มาลี เล่าถึงสภาพที่เธอและลูกสาววัยหนึ่งขวบถูกควบคุมตัวในเรือนจำ CC2 ในพนมเปญ ว่า การเลี้ยงลูกในคุกลำบากมาก เพราะลูกอยากจะเดินไปโน่นมานี่ ลูกต้องการมีพื้นที่ ลูกต้องการเห็นโลกข้างนอก ลูกต้องการเสรีภาพ แต่ในทางตรงข้าม ตนกลับต้องป่วยเพราะมีไข้และเป็นหวัด แต่ในนั้นไม่มีพื้นที่เพียงพอ ลูกจึงต้องนอนตักตน ซึ่งแม้จะไม่มีการเผยแพร่ตัวเลขประชากรทั้งหมดในศูนย์บำบัดยาเสพติดของกัมพูชา แต่จากข้อมูลของผู้ให้สัมภาษณ์กับแอมเนสตี้ฯ ชี้ให้เห็นถึงสภาพที่แออัดภายในศูนย์บำบัดเหล่านั้น ที่มีสภาพเลวร้ายไม่ต่างกับในเรือนจำ
ศูนย์บำบัดทุกแห่งมีความเสี่ยงอย่างมากต่อการแพร่ระบาดในวงกว้างของโรคโควิด-19 และผู้ต้องกักหลายคนมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น บางคนมีเชื้อเอชไอวีและป่วยเป็นวัณโรค การนำพวกเขามาอยู่รวมกันยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น หลง อดีตนักโทษเรือนจำ CC1 บอกกับแอมเนสตี้ฯ ว่า ถ้ามีนักโทษคนหนึ่งป่วยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ในเวลาไม่กี่วัน ทุกคนในห้องขังก็จะติดกันหมด มันเป็นเหมือนแหล่งเพาะเชื้อโรคดีๆ นี่เอง
จากวิดีโอที่เป็นการถ่ายภาพในเรือนจำของกัมพูชา ที่ได้รับการเผยแพร่โดยแอมเนสตี้ฯ เพียงองค์กรเดียวเมื่อเดือนที่แล้ว แสดงให้เห็นสภาพที่แออัดอย่างมาก และสภาพการควบคุมตัวที่ไร้มนุษยธรรม โฆษกกรมราชทัณฑ์ของกัมพูชา ยอมรับว่า ทุกวันนี้มันก็เหมือนกับระเบิดเวลาสำหรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในศูนย์บำบัดยาเสพติด แต่จนถึงปัจจุบัน ทางการกัมพูชาไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อลดประชากรในเรือนจำ แม้ในช่วงเวลาเดียวกันประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น ไทย เมียนมา และอินโดนีเซีย ต่างปล่อยนักโทษออกมาหลายพันคน
รายงานยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าศูนย์บำบัดยาเสพติดในกัมพูชา อ้างว่าให้การรักษาพยาบาลกับผู้มีอาการพึ่งพายาเสพติด แต่ในทางปฏิบัติสถานที่เหล่านี้กลายเป็นสถานที่ของการปฏิบัติมิชอบ ทุกคนที่ให้สัมภาษณ์กับแอมเนสตี้ฯ อธิบายรายละเอียดของการปฏิบัติมิชอบทางกายที่เกิดขึ้น และรุนแรงถึงขั้นเป็นการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้ายโดยเจ้าหน้าที่ศูนย์บำบัด หรือเพื่อนนักโทษที่เป็นหัวหน้าห้อง พวกเขาได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ให้เป็นผู้กวดขันวินัยเพื่อนนักโทษด้วยกัน
ทิดา ซึ่งถูกควบคุมตัวที่โอกาสขนอม ศูนย์บำบัดยาเสพติดในพนมเปญระหว่างปี 2562 ให้ข้อมูลว่า ความรุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกคนที่นี่ เป็นเรื่องปรกติ ความรุนแรงแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเจอทุกวัน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เช่นเดียวกับ สารัฐ ผู้ให้ข้อมูลอีกราย บอกว่า วันแรกที่ถูกจับเข้าไปในศูนย์บำบัดยาเสพติดตอนอายุ 17 ปี ทันทีที่เจ้าหน้าที่ออกไปจากห้อง หัวหน้าห้องก็เริ่มเข้ามาซ้อม ตนถูกซ้อมจนหมดสติ จำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
ยังมีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงทางเพศ และการตายระหว่างถูกควบคุมตัวในศูนย์บำบัดยาเสพติด จากการสอบสวนของแอมเนสตี้ฯ พบว่ามีข้อกล่าวหาใหม่หลายประการเกี่ยวกับการเสียชีวิตเช่นนี้ พนิท อดีตหัวหน้าห้องให้ข้อมูลว่า เขาเห็นนักโทษคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ที่มือทั้งสองข้างและที่เท้า ทำให้ไปไหนมาไหนไม่ได้ จากนั้นคนที่เป็นหัวหน้าอาคารก็ซ้อมเขาในสภาพเช่นนั้นจนกระทั่งเสียชีวิต
ดังนั้นแล้วจึงสรุปได้ว่า แนวทางที่สุดโต่งของทางการกัมพูชาที่นำมาใช้กับผู้เสพยา ไม่ตอบสนองเป้าหมายหลักในการลดการเสพและอันตรายจากยาเสพติด ตรงกันข้าม กลับทำให้เกิดหายนะด้านสาธารณสุขและวิกฤติด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับกลุ่มประชากรที่ยากจนและมีความเสี่ยงมากสุดของประเทศ อันที่จริงมีทางเลือกอื่นอย่างชัดเจนและมีหลักฐานสนับสนุน
โดยนโยบายด้านยาเสพติดระหว่างประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการปฏิรูปในวงกว้าง และหันมาใช้แนวทางเลือกที่มีหลักฐานสนับสนุน และช่วยคุ้มครองการสาธารณสุขและสิทธิมนุษยชนได้ดีขึ้น ทั้งการลดการเอาผิดทางอาญากับการเสพและครอบครองยาเสพติดเพื่อการเสพส่วนตัว กระทรวงสาธารณสุขของกัมพูชายังได้ดำเนินการในเบื้องต้นเมื่อเร็วๆ นี้ในทิศทางที่ถูกต้อง โดยการเพิ่มแนวทางบำบัดในชุมชนที่มีหลักฐานสนับสนุน
อย่างไรก็ดี จำเป็นที่จะต้องมีการสั่งปิดศูนย์บำบัดยาเสพติดแบบบังคับโดยทันทีและถาวร โดยต้องปล่อยตัวผู้ถูกกักในสถานที่ดังกล่าวทันที และต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอด้านสุขภาพและบริการด้านสังคม นอกจากนั้น ทางการกัมพูชาควรดำเนินการโดยทันทีตามมาตรการที่ประกาศไว้ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเมื่อปี 2562 กล่าวคือ การกำหนดนโยบายด้านยาเสพติดใหม่ ที่เปลี่ยนจากแนวทางการห้ามเสพ มาเป็นการคุ้มครองอย่างเต็มที่ซึ่งสิทธิของผู้เสพยาและชุมชนที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ
“ในกัมพูชาและทั่วโลก สิ่งที่เรียกว่าสงครามปราบปรามยาเสพติดล้วนล้มเหลว แต่ยังมีแนวทางเลือกอื่นอย่างชัดเจนที่มีพื้นฐานจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และสามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้ดีขึ้น ทางการกัมพูชาต้องยุตินโยบายที่เป็นการปฏิบัติมิชอบ รวมทั้งการควบคุมตัวโดยพลการและการเอาผิดทางอาญา และให้หันมาใช้นโยบายยาเสพติดในยุคใหม่ที่มีความเมตตาและเป็นผลมากยิ่งขึ้น” ผอ.ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี