5 มิ.ย. 2563 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอข่าว Calls to suicide helpline show Thais' stress in downturn ว่าด้วยสถานการณ์การฆ่าตัวตายของคนไทย ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่มีการสั่งปิดสถานที่ต่างๆ ให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพื่อตัดกิจกรรมการรวมกลุ่มอันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้คนจำนวนมากต้องตกงานขาดรายได้ อาทิ Nitiwadee Sae-Tia หญิงอายุ 50 ปี อาชีพแม่บ้านในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตัดสินใจปลิดชีพตนเองหลังตกงาน จากความเครียดเพราะร้านที่ตนทำงานถูกปิดไปด้วย
แม้สถิติการฆ่าตัวตายในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 จะลดลงหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 แต่สายด่วนให้คำปรึกษามีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ข้อมูลจากองค์กรสะมาริตันส์ (Samaritans) ซึ่งทำงานด้านการป้องกันการฆ่าตัวตาย พบว่า นับตั้งแต่ประเทศไทยเข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์ ช่วงกลายเดือน มี.ค. 2563 บริการสายด่วนมีจำนวนผู้โทรศัพท์มาเพิ่มขึ้นราว 3-5 เท่า โดย พนมพร พุ่มจันทร์ (Panomporn Phoomchan) ผู้อำนวยการสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เครียดเรื่องปัญหาทางการเงิน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า มาตรการเยียวยาผลกระทบที่รัฐบาลไทยจะจ่ายเงินรวม 3 เดือนเป็นจำนวน 460 เหรียญสหรัฐ หรือ 15,000 บาท มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ 24 ล้านคน แต่กระทรวงการคลัง ระบุว่า มีเพียง 15 ล้านคนที่คุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่กำหนด การต่อสู้ของผู้ที่กังวลว่าตนเองจะถูกตัดสิทธิ์ปรากฏเป็นข่าว ที่โด่งดังที่สุดคือกรณีของ Unyakarn Booprasert หญิงวัย 59 ปี ที่พยายามฆ่าตัวตายบริเวณหน้ากระทรวงการคลัง ช่วงปลายเดือน เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา แต่เคราะห์ดีได้รับการช่วยชีวิตไว้ได้ทัน
หลังหายดีแล้ว หญิงรายนี้ กล่าวผู้สื่อข่าว ว่า ที่พยายามฆ่าตัวตายเพราะต้องการสื่อสารถึงความเจ็บปวดของคนอื่นๆ ที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันกับตน หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นตนได้รับเงินเยียวยาจากภาครัฐ รวมถึงได้รับเงินบริจาคจากประชาชน แต่ขณะนี้กำลังมองหางานใหม่ อย่างไรก็ตาม นพ.ณัฐกร จำปาทอง (Nattakorn Champathong) ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ (National Suicide Prevention Center สังกัด รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์-ผู้แปล) แสดงความเป็นห่วงว่า แม้วิกฤติโรคระบาดจะซาลง แต่วิกฤติการเงินยังดำรงอยู่
ทั้งนี้ มีปรากฏการณ์ที่ได้รับการยอมรับในทางสากลว่า การฆ่าตัวตายจะไม่มากในช่วงระหว่างเกิดวิกฤติ แต่จะเพิ่มขึ้นหลังจากนั้น สำหรับในประเทศไทย วิกฤติเศรษฐกิจของเอเชีย (วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540-ผู้แปล) ทำให้การการฆ่าตัวตายระหว่างปี 2541-2543 เพิ่มเป็นเฉลี่ย 8 คนต่อประชากร 1 แสนคน จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นต่ำกว่า 7 คนต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่ง นพ.ณัฐกร กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนหลังสถานการณ์โควิด-19 เบาลง จะเป็นความท้าทายของรัฐบาลไทยในการเตรียมพร้อมรับมือ เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การฆ่าตัวตายจะรุนแรงขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี