10 มิ.ย. 2563 เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอข่าว Thailand's condo market sinks as Chinese investment ebbs ระบุว่า การหายไปของชาวจีน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ทั้งเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นทำให้กำลังซื้อจากเงินหยวนของจีนลดลง สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงวิกฤติโรคระบาดไวรัสโควิด-19
แม้ตามกฎหมายไทยแล้วจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติมีสัดส่วนการลงทุนเพียงร้อยละ 49 รวมถึงไม่อนุญาตให้ครอบครองที่ดิน แต่ที่ผ่านมามีผู้คนจากหลายประเทศตัดสินใจเลือกซื้อห้องพักจากโครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างในประเทศไทย โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ในปี 2561 ผู้คนจากจีนแผ่นดินใหญ่และเกาะฮ่องกง คิดเป็นร้อยละ 43 ของเม็ดเงิน 9.216 หมื่นล้านบาท จากชาวต่างชาติที่สนใจซื้อคอนโดฯ ในไทย นอกจากนี้ยังมีชาวอเมริกัน สิงคโปร์ ไต้หวัน สหราชอาณาจักร (อังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือ) และญี่ปุ่น
บ็อบบี้ (Bobby) ชาวจีนจากกรุงปักกิ่ง เล่าว่า มีเพื่อนร่วมชาติมากมายที่เป็นเจ้าของคอนโดฯ ในเมืองใหญ่ของไทยอย่างกรุงเทพฯ จ.ภูเก็ต รวมถึงเมืองพัทยา จ.ชลบุรี บางคนถึงกับซื้อไว้ถึง 3 ห้อง โดยห้องหนึ่งไว้พักอาศัยเองหลังเกษียณจากการทำงาน และอีก 2 ห้องไว้ปล่อยเช่า เช่นเดียวกับ หวงเฉิง (Huang Cheng) ชาวจีนจากเมืองเฉิงตู กล่าวว่า ตนมีห้องพักในคอนโดฯ หลายแห่งในย่านวงเวียนใหญ่และอ่อนนุชของกรุงเทพฯ อันเป็น 2 ย่านที่นักท่องเที่ยวชาวจีนมักมาเช่าห้องพักที่ให้บริการผ่านแอพพลิเคชั่น Airbnb
ประเทศไทยนั้นออกประกาศห้ามเที่ยวบินพาณิชย์จากต่างประเทศเข้าจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2563 และแม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้ชาวจีนเข้าไปท่องเที่ยว แต่ก็เชื่อว่ากิจกรรมการท่องเที่ยวจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงไตรมาสสุดท้าย (เดือน ต.ค.-ธ.ค.) ของปี 2563 ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เปิดเผยในเดือน พ.ค. 2563 คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยจะลดลงถึง 2 ใน 3 หรือเหลือเพียง 14 ล้านคน เป็นการลดลงที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี โดยในปี 2562 มีชาวต่างชาติเดินทางไปเยือนไทยมากถึง 39.8 ล้านคน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ย้อนไปในปี 2540 วิกฤติการเงินเอเชีย (ต้มยำกุ้ง) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง กระทั่งกลับมาเติบโตอีกครั้งตั้งแต่ปี 2553 โดยเฉพาะช่วงปี 2555-2556 อสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียมเติบโตอย่างมากจากโครงการบ้านหลังแรกของรัฐบาลไทยขณะนั้น ผลสำรวจจากศูนย์วิจัยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชี้ว่า ระหว่างปี 2553-2561 มีโครงการคอนโดฯ เปิดใหม่ปีละ 105,000 หน่วย ส่วนยอดขายอยู่ที่ปีละ 96,000 หน่วย
กระทั่งเมื่อเกิดวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 นักพัฒนาโครงการต้องคิดกลยุทธ์มาแก้ปัญหา แม้กระทั่งการลดราคาถึงร้อยละ 50 เพื่อดึงดูดให้ผู้คนสนใจซื้อ โดย Risinee Sarikaputra ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของ Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของโลกที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ต้องการเวลาอีกสัก 2 ปีเพื่อให้ตลาดคอนโดมิเนียมในไทยดีขึ้น
สถานการณ์ประจำปี 2563 ของบรรดานักพัฒนาคอนโดฯ ในไทยดูจะไม่สดใสนัก อาทิ AP กำไรไตรมาสแรกของปี 2563 อยู่ที่ 618 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 40 และรายได้อยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ขณะที่คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Sansiri ที่คุ้นเคยกับลูกค้าต่างประเทศเพราะเน้นพัฒนาคอนโดฯ แบบพรีเมียม กำไรสุทธิลดลงอยู่ที่ 62 ล้าน ลดลงถึงร้อยละ 85 ส่วนในปี 2562 แม้ยอดขายที่เป็นลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาท แต่ก็ยังน้อยกว่าปี 2561 ที่มียอดขายมากถึง 14,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับ Sansiri กำลังเตรียมโครงการส่วนลดสำหรับโครงการคอนโดฯ XT ย่านเอกมัยในกรุงเทพฯ อาคารสูง 38 ชั้นซึ่งร่วมพัฒนากับ บ.โตคิว (Tokyu) จากญี่ปุ่น คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2563 ขณะที่ วิชัย วิรัตกพันธ์ (Vichai Viratkapan) รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า รัฐบาลสามารถกำหนดรูปแบบการขอวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์หากพวกเขาเร่งโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายให้ชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยทำวีซ่าได้ โดยหากต้องการจะพักอาศัย ต้องเลือก 1 ใน 3 ทาง คือวีซ่าทำงาน วีซ่านักลงทุน และวีซ่าสำหรับเกษียณอายุ ในขณะที่เพื่อนบ้านทางใต้อย่างมาเลเซีย อนุญาตให้ชาวต่างชาติขอวีซ่าเพื่อการพักอาศัยโดยให้อยู่ในมาเลเซียได้นานถึง 10 ปี หากฝากเงินอย่างน้อย 150,000 ริงกิต หรือราว 1.12 ล้านบาท ในธนาคารท้องถิ่น รวมถึงเมื่อเดือน ต.ค. 2562 มีการแก้กฎหมายกำหนดราคาขั้นต่ำของอสังหาฯ ที่สามารถซื้อได้ จากเดิมอยู่ที่ 1 ล้านริงกิต หรือราว 7.5 ล้านบาท ลดลงมาอยู่ที่ 6 แสนริงกิต หรือราว 4.5 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี