25 มิ.ย. 2563 เมื่อพูดถึง “ร้านคาราโอเกะ” เชื่อว่าผู้คนสังคมไทยจำนวนมากคงนึกถึงร้านที่ตั้งอยู่ในตึกแถวคูหาเล็กๆ ในซอกหลืบสักแห่งหนึ่งของเมือง หรือบ้านไม้เล็กๆ ชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ตามแนวถนนนอกเมือง ในยามค่ำคืน ร้านเหล่านี้เปิดไฟหลากสีสลัวๆ และมีหญิงสาวคอยเชื้อเชิญหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้เข้าไปใช้บริการ “ร้องเพลง ดื่มเหล้า เคล้านารี” แน่นอนว่าโดยปกติแล้วหญิงเหล่านี้ให้บริการเพียงเป็น “เพื่อนคุย-เพื่อนดื่ม” เท่านั้น แต่ก็เป็นที่ทราบกันว่า “มีบางคนพร้อมไปต่อกับแขกผู้มาเยือน” ส่วนสนนราคาก็แล้วแต่ละสอบถามพูดคุยกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย “วิกฤติไวรัสโควิด-19” ได้ทำให้กิจการแทบทุกประเภทได้รับผลกระทบเนื่องจากรัฐบาลสั่งปิดช่วงล็อกดาวน์ และแม้ต่อมาจะมีการคลายล็อกตามลำดับ แต่สำหรับร้านคาราโอเกะประเภทนี้คงไม่ได้ไปต่อ หากดูข้อปฏิบัติที่ทาง “ศบค.” ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ระบุว่า “งดนั่ง ร้องเพลง เต้นหรือยินยอมให้มีการเต้นกับลูกค้า” ซึ่งขัดกับเป้าหมายของผู้เข้าไปใช้บริการในสถานที่เหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่จะต้องปิดตัวลงไปโดยปริยาย
แต่สำหรับ เกาหลีใต้ แม้จะกำลังเผชิญการระบาดของของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ซึ่งหนึ่งในแหล่งระบาดมาจากย่านสถานบันเทิงในกรุงโซล ล่าสุด เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอข่าว Why has South Korea allowed adult ‘room salons’ to reopen? ระบุว่า ที่แดนกิมจิ สถานบริการที่ผู้ชายเข้าไปดื่มสังสรรค์โดยมีพนักงานหญิงแต่งกายในชุดวาบหวิว กลับได้รับอนุญาตให้เปิดทำการได้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ลูกค้าสามารถสอบถามพนักงานว่ามี “บริการพิเศษ” หรือไม่ หากตกลงกันได้ ก็จะไปใช้บริการ “โรงแรมม่านรูด” ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ในช่วงที่เริ่มการระบาดระลอก 2 ของไวรัสโควิด-19 ร้านคาราโอเกะประเภทนี้ถูกทางการเกาหลีใต้สั่งปิดไปเป็นเวลาราว 1 เดือน ก่อนจะกลับมาเปิดใหม่อีกครั้งในเดือน มิ.ย. 2563 ซึ่งแม้จะเป็นการตอบสนองต่อผู้ประกอบการที่เรียกร้องให้เปิดเนื่องจากได้รับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ แต่การอนุญาตดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อยในสังคมเกาหลีใต้ ไม่เพียงแต่ความกังวลเรื่องโรคระบาด แต่ยังเผยให้เห็น “วัฒนธรรมองค์กร (corporate culture)” บางอย่างที่ดำรงอยู่มาช้านาน
จูฮี คิม (Joohee Kim) นักวิชาการจากสถาบันโลกาศึกษาเชิงวิพากษ์ มหาวิทยาลัยโซกัง (Sogang University’s Critical Global Studies Institute) ผู้สนใจประเด็นทางเศรษฐศาสตร์ในกิจการ “โอเกะสยิว” ในเกาหลีใต้ กล่าวว่า สังคมเกาหลีใต้มีสิ่งทีเรียกว่า “สัญญาทางสังคม (Social Promise)” ที่คู่เจรจาทั้ง 2 ฝ่ายจะแลกเปลี่ยนของกำนัลบางอย่างให้เพื่อทำข้อตกลงที่มองไม่เห็น และของกำนัลที่ว่าก็คือการจ่ายเงินจำนวนมากให้หญิงสาวมาบริการระหว่างการดื่มสังสรรค์
ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันว่า ทั้งนักการเมือง ตำรวจ และคนในแวดวงกระบวนการยุติธรรม มักแวะเวียนมาใช้บริการร้านเหล่านี้บ่อยครั้ง ในอดีตผู้ประกอบการต้อง “จ่ายส่วย (Bribe)” ให้ตำรวจเพื่อจะเปิดร้านได้โดยไม่ถูกรบกวน อนึ่ง หลังพบพนักงานในสถานบริการประเภทดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19 ทางการแดนกิมจิได้เข้าตรวจร้านอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามมาตรการลดความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เช่น การจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ การลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นเพื่อการติดตามสอบสวนโรค การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสอย่างสม่ำเสมอ ฯลฯ
ผู้ประกอบการร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ระบุว่า ร้านของตนมีพื้นที่ 500 ตารางเมตร แบ่งเป็นห้อง 19 ห้อง มีพนักงานบริการหญิงประมาณ 24 คน และมีลูกค้าเฉลี่ย 100 คนต่อคืน ที่ร้านมีการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกวัน มีหน้ากากปิดปาก-จมูกให้กับผู้มาใช้บริการ และนับตั้งแต่ร้านกลับมาเปิดใหม่ เจ้าหน้าที่ทางการเข้ามาตรวจสอบภายในร้านอยู่บ่อยครั้ง
ภาพยนตร์จากเกาหลีใต้เรื่อง “การเมืองเฉือนคม (Inside Men)” ซึ่งเข้าฉายในปี 2558 มีฉากหนึ่งปรากฏภาพตัวละครที่เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี บรรณาธิการสำนักพิมพ์ และหัวหน้าเครือข่ายนักธุรกิจ ใช้ร้านคาราโอเกะสยิวเป็นสถานที่นัดพบกัน โดยในห้องนั้นมีหญิงสาวเปลือยกายคอยชงเหล้าและให้บริการทางเพศ ฉากดังกล่าวในภาพยนตร์ไม่ไกลจากความเป็นจริงนัก ชายชาวเกาหลีใต้วัย 42 ปีคนหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ระบุว่า ตนเป็นผู้จัดการบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และพนักงานในบริษัทก็ชอบที่จะไปสังสรรค์ในร้านเหล่านี้เมื่อเงินเดือนออก
ชายคนนี้ยังเล่าต่อไปว่า ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2551 (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์-ผู้แปล) เพื่อนร่วมงานของตนไปเที่ยวสถานที่นี้แทบทุกคืน และแม้วิกฤติไวรัสโควิด-19 จะกระทบทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและร้านคาราโอเกะสยิว แต่ร้านแบบนี้ก็ยังเป็นศูนย์กลางในการทำธุรกิจ หลายบริษัทไม่ยอมทำข้อตกลงด้วย หรือแม้แต่ผู้ตรวจสอบก็ยังไม่พอใจ หากไม่มีการมอบของกำนัลนี้ให้กับพวกเขา คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ผู้คนที่อยู่ในลำดับสูงกว่าทางสังคม สามารถเรียกร้องคนที่อยู่ในลำดับชั้นต่ำกว่าให้จัดหาสุราและนารีมาปรนเปรอเพื่อแลกกับเงื่อนไขบางอย่าง
โอม จุง-ซิก (Eom Joong-sik) นักวิชาการด้านโรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัยเกชอน (Gachon University) ให้ความเห็นว่า บางกิจการแม้จะมีความเสี่ยงสูงแต่เปิดได้นั้นเพราะมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของคนจำนวนมากในสังคม แต่บางสถานที่แม้จะมีสถิติการระบาดของโรคต่ำก็ควรถูกปิดอย่างเด็ดขาดเพราะมีประโยชน์น้อยหรือไม่มีประโยชน์ใดๆ กับสังคม และตนไม่เห็นด้วยกับการใช้ข้อมูลก่อนหน้ามาตัดสินใจว่าจะให้เปิดสถานที่ใด และแม้ร้านคาราโอเกะจะไม่เคยเกิดการระบาดใหญ่ แต่มีปัจจัยให้ต้องพิจารณา เช่น ระบบระบายอากาศ ห้องน้ำและอื่นๆ
สถานบริการที่มีผู้หญิงแต่งตัววาบหวิวคอยปรนนิบัติผู้ชายที่มาสังสรรค์นั้น สืบย้อนไปถึงวัฒนธรรมเก่าแก่ของอารยธรรมเกาหลี นั่นคือ กีแซง (Gisaeng) หมายถึงผู้หญิงที่มีพื้นเพจากครอบครัวยากไร้หรือทาส จะถูกฝึกฝนศิลปะชั้นสูงเพื่อให้ความบันเทิงในฐานะเพื่อนคุยกับผู้ชายที่เป็นชนชั้นสูง กีแซงนั้นมีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2 หรือกว่า 1,800 ปีก่อน อนึ่ง ข้อมูลจากกระทรวงความเสมอภาคทางเพศและครอบครัว ระบุว่า ในการสำรวจเมื่อปี 2559 พบผู้ชายชาวเกาหลีใต้กว่าร้อยละ 50 เคยซื้อบริการทางเพศจากผู้หญิง อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต
กลับมาที่ จูฮี คิม เธอกล่าวว่า ผู้หญิงเกาหลีใต้ยุคใหม่มีแนวโน้มไม่ยอมทนกับค่านิยมชายเป็นใหญ่ ซึ่งรวมถึงการใช้สถานบริการข้างต้นทำสัญญาข้อตกลงกัน และโดยเฉพาะเมื่อมีบุคคลอย่างนักการเมืองหรือตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง สืบเนื่องจากปัจจุบันผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้นและมีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น จึงมีความหวังว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในรุ่นถัดไป
ที่มา scmp
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี