6 สิงหาคม 2563 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน จากเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่ท่าเรือไฮฟา ในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 4 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วกรุงเบรุต ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งเป็นอย่างน้อย 137 คน บาดเจ็บอีกกว่า 5,000 คน สูญหายอีกหลายสิบคน และทำให้อีก 250,000 คน ไม่มีบ้านจะอยู่อาศัย หลังจากแรงระเบิดได้ทำลายอาคารเป็นรัศมีหลายไมล์
ด้านรัฐบาลเลบานอนสั่งกักบริเวณเจ้าหน้าที่ท่าเรือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสารแอมโมเนียมไนเตรท 2,750 ตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของเหตุระเบิดครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเก็บรักษาหรือดูแลด้านงานเอกสาร ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 ต้องถูกกักบริเวณระหว่างรอการสืบสวนสอบสวน
ประธานาธิบดีมิเชล อูน เดินทางไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อวันพุธ เพื่อสำรวจความเสียหาย โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งสอบสวนหาสาเหตุของการเกิดหายนะครั้งนี้ให้เร็วที่สุด และผู้เกี่ยวข้องตลอดจนผู้กระทำผิดต้องรับโทษสูงสุดตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม อูนปฏิเสธให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นแอมโอเมเนียมไนเตรตซึ่งถูกทางการยึดไว้ แต่ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัย
ด้านผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากร กล่าวว่า ทางสำนักงานเคยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานขนย้ายสารเคมีอันตรายเหล่านี้ซึ่งยึดได้จากเรือขนส่งสินค้าลำหนึ่งตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อนออกไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการสนองตอบ และทางท่าเรือตระหนักเป็นอย่างดีว่าสารแอมโมเนียมไนเตรทเป็นวัตถุอันตราย
ในเวลาเดียวกัน ความช่วยเหลือจากนานาประเทศหลั่งไหลเข้าสู่กรุงเบรุตแล้ว โดยกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( ยูเออี ) และอิหร่าน เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้างโรงพยาบาลสนามไปด้วย นอกเหนือจากการส่งเจ้าหน้าที่กู้ภัย บุคลากรการแพทย์ ยารักษาโรคและสิ่งของจำเป็นอื่น นื่องจากโรงพยาบาลหลายแห่งในกรุงเบรุตได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแรงระเบิด และสถานพยาบาลที่ยังพอให้บริการได้ทั้งในกรุงเบรุต และเมืองใกล้เคียงแออัดไปด้วยผู้ป่วยโรคโควิด-19
ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดส่งอุปกรณ์การแพทย์ที่รวมถึงเครื่องมือผ่าตัดและปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากคลังสินค้าที่เมืองดูไบ
ผู้เชี่ยวชาญที่มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ในสหราชอาณาจักร ประเมินว่าเหตุระเบิดครั้งนี้ มีความรุนแรงขนาด 1 ใน 10 ของระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และถือว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ระเบิดที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์
ทั้งนี้ สารแอมโมเนียไนเตรท ถูกใช้ในการผลิตปุ๋ยในภาคการเกษตร และขณะเดียวกัน ก็ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตระเบิดได้ด้วยเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี