โลกจับตา‘เมียนมา’หลังโควิดระบาดขั้นวิกฤติ ย่างกุ้งเร่งสร้างรพ.สนามรับติดเชื้อพุ่ง
17 ก.ย. 2563 สื่อต่างชาติหลายสำนักร่วมจับตาสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศเมียนมา อาทิ เว็บไซต์ นสพ.New York Post สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว Myanmar races to build field hospital as coronavirus overwhelms health system ระบุว่า ทางการเมียนมาต้องทำงานแข่งกับเวลาในการเร่งก่อสร้างโรงพยาบาลชั่วคราวที่เมืองย่างกุ้ง ศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจของประเทศ หลังสถิติล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2563 มีผู้ติดเชื้อสะสมรวมแล้ว 3,636 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 39 ราย
ก่อนหน้านี้เมียนมาไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 แบบระบาดในท้องถิ่นนานอยู่หลายสัปดาห์ กระทั่งช่วงกลางเดือน ส.ค. 2563 ก็เริ่มพบการระบาดในลักษณะดังกล่าวในพื้นที่รัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศ ก่อนจะลุกลามไปยังพื้นที่อื่นๆ ในเวลาต่อมา ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ในเมียนมา กังวลว่าหากจำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มสูงขึ้นก็อาจกระทบต่อโครงสร้างระบบสาธารณสุขของเมียนมาที่เปราะบางอยู่แล้วได้
กวง เมียต โซ (Kaung Myat Soe) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชั่วคราว ยอมรับว่า เมียนมาไม่มีพื้นที่รองรับสำหรับการระบาดใหญ่อีกแล้ว และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากไม่สามารถรองรับผู้ป่วยด้วย ดังนั้นจึงต้องรีบก่อสร้างศูนย์พักพิงอย่างเร่งด่วน ขณะที่บรรยากาศในเมืองย่างกุ้งที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ คนงานกำลังเร่งดัดแปลงสนามฟุตบอลให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราวขนาด 500 เตียง ส่วนโรงพยาบาลหลัก 3 แห่งของเมือง ทรัพยากรส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อรับมือผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นหลัก
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า หลายทศวรรษที่เมียนมาถูกปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารซึ่งละเลยการวางรากฐานด้านสาธารณสุข ทำให้ในปี 2543 องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เมียนมาเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขแย่ที่สุดในโลก งบประมาณด้านสาธารณสุขอยู่ที่เพียงร้อยละ 0.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ กระทั่งเมียนมาเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยในปี 2554 แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก
ในเดือน มี.ค. 2563 ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่รายงานที่ระบุว่า เมียนมามีเตียงผู้ป่วยอาการหนัก (ICU) เพียง 383 เตียง และมีเครื่องช่วยหายใจเพียง 249 เครื่อง ทั้งที่มีประชากรถึง 51 ล้านคน เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างไทยที่มีประชากร 69 ล้านคน ประเทศไทยมีเตียงผู้ป่วยอาการหนักถึง 6,000 เตียง และเครื่องช่วยหายใจมากกว่า 10,000 เครื่อง ซึ่งถึงขั้นที่ไทยต้องบริจาคเครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยเมียนมา
นโยบายรัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ระบบสาธารณสุขของเมียนมาทำงานได้ไม่เต็มที่ อาทิ คเยา มิน ตัน (Kyaw Min Tun) ที่เปิดคลินิกในเมืองย่างกุ้ง กล่าวว่า ทางการเมียนมากำหนดให้ผู้ที่จะเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี Swab ต้องไปเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลก่อน และนั่นเป็นการทำให้เตียงผู้ป่วยขาดแคลนโดยไม่จำเป็น เช่นเดียวกับ โค โค ฮทเว (Ko Ko Htwe) แพทย์ประจำคลินิกท้องถิ่น ที่ระบุว่า บุคลากรสาธารณสุขที่สงสัยว่าติดเชื้อจะถูกส่งเข้าสถานที่กักกันทั่วเมือง และบังคับให้ปิดคลินิกเอกชน
เบื้องต้นโฆษกกระทรวงสาธารณสุขเมียนมา ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ ขณะที่ พโย มิน เทียน (Phyo Min Thein) หัวหน้าคณะผู้บริหารเมืองย่างกุ้ง ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นของเมียนมา ระบุว่า ตนคาดหวังว่าสถานการณ์จะถูกควบคุมได้ภายใน 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ยังมีที่ว่างนับร้อยแห่งในสถานกักกันโรคที่ดำเนินการโดยรัฐบาล ซึ่งรองรับผู้ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อ รวมถึงผู้ที่มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ในสถานกักกันก็ยังพบปัญหา เช่น สภาพแวดล้อมไม่ดี และมีการให้ผู้ตรวจพบเชื้อพักรวมกับผู้ที่ไม่พบเชื้อ
พวินท์ ธิริ ซาน (Pwint Thiri San) หญิงวัย 23 ปี เปิดเผยว่า ตนมีอาการป่วยไม่รุนแรง แต่กำลังกังวลว่าหากอาการรุนแรงขึ้นจะได้รับการดูแลอย่างเพียงพอหรือไม่ สิ่งที่พบคือบางห้องน้ำไม่ไหล และตนก็ไม่เคยได้พบแพทย์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2563 ตนเพิ่งเห็นผู้ป่วยคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างพยายามหายใจซึ่งตนก็พยายามเรียกให้อาสาสมัครที่ดูแลสถานที่มาช่วยเหลือ อีกด้านหนึ่ง โป โป (Poe Poe) ผู้จัดการสถานกักกัน กล่าวว่า ตนไม่ได้รับอนุญาตให้ตอบคำถามใดๆ
ขณะที่สำนักข่าว Vietnam Plus ในเครือ Vietnam News Agency (VNA) ของรัฐบาลเวียดนาม เสนอข่าว Thailand seals border with Myanmar to stem COVID-19, drug trafficking ระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (Prawit Wongsuwan) รองนายกรัฐมนตรีของไทย สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง คุมเข้มตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อป้องกันทั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 และการลักลอบลำเลียงยาเสพติด
เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดขณะนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หลายคนจึงอาจถูกล่อลวงให้ทำงานนำยาเสพติดผ่านเข้าไทยก่อนส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ค้าขายตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ยังสามารถนำสินค้าไปวางไว้ ณ จุดรับ-ส่งสินค้าโดยไม่ต้องติดต่อกันทางกายภาพ ทั้งนี้ ในเดือน ส.ค. 2563 มีรายงานทางการไทยตรวจยึดยาบ้าจำนวน 28 ล้านเม็ด และยาไอซ์น้ำหนัก 428 กิโลกรัม ที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางจังหวัดทางภาคเหนือและตะวันตกของไทย
ด้านเว็บไซต์ นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอข่าว Yangon residents barricade their neighbourhoods against second Covid-19 wave ระบุว่า แม้การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ในเมียนมาจะเริ่มต้นที่รัฐยะไข่ แต่ปัจจุบันเมืองย่างกุ้งได้กลายเป็นพื้นที่ที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด จนต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ห้ามเดินทางเข้า-ออก ชาวเมืองต้องอยู่บ้านโดยได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านไปทำงาน ซื้อของใช้ที่จำเป็นและไปพบแพทย์เท่านั้น ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและจีนได้ยกระดับมาตรการคุมเข้มพื้นที่ชายแดนที่ติดกับเมียนมา
ขิ่น ขิ่น กยี (Khin Khin Gyi) ผู้อำนวยการแผนกป้องกันและขจัดโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขและกีฬาของเมียนมา กล่าวว่า สถานที่ตรวจรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเมียนมาใกล้เต็มความจุที่รองรับได้แล้ว มีการตรวจคัดกรองเฉลี่ย 4,000 คนต่อวันซึ่งเต็มศักยภาพที่ทำได้ในปัจจุบัน และคนงานก็กำลังเร่งดัดแปลงสนามกีฬารวมถึงอาคารพักอาศัยให้กลายเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว
อีกด้านหนึ่ง ชุมชนบางแห่งในเมืองย่างกุ้ง มีการรวมกลุ่มสร้างแนวป้องกันและจัดกำลังเวรยามเฝ้าระวังไม่ให้บุคคลภายนอกแม้แต่ผู้เร่ขายสินค้าเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออาชีพคนรับจ้างส่งสินค้า อาทิ อัง โค โค (Aung Ko Ko) ผู้ใช้จักรยานรับ-ส่งอาหาร เปิดเผยว่า ตนต้องหาเส้นทางอื่นเพื่อเข้าไปยังพื้นที่เป้าหมาย เนื่องจากเส้นทางหลักถูกปิดกั้นซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยได้ค่าตอบแทนต่ำมากเพียงครั้งละ 600-700 จ๊าด หรือราว 14-16 บาทเท่านั้น
เช่นเดียวกับ ซิน มิน (Zin Min) อาชีพขับรถแท็กซี่ เล่าว่า รายได้ของตนเหลือเพียง 1 ใน 4 ของที่เคยทำได้ช่วงก่อนสถานการณ์โรคระบาด และบางจุดหมายตนต้องขอเพิ่มค่าโดยสารเป็น 2 เท่าจากราคาในช่วงปกติเพราะต้องใช้การลัดเลาะหาเส้นทาง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจจ่าย หลายคนเลือกที่จะลงที่ด้านหน้าของชุมชนซึ่งมีด่านตรวจ และบางครั้งตนก็ต้องโต้เถียงกับเวรยามที่เฝ้าด่าน
ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) คาดการณ์เศรษฐกิจเมียนมา ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2563 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดปีงบประมาณ 2563 จะเติบโตเพียงร้อยละ 1.8 แต่น่าจะกลับมาเติบโตที่ร้อยละ 6 ในปี 2564 จากการสนับสนุนภาคเกษตร การใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น และการขยายตัวในภาคโทรคมนาคม ถึงกระนั้น กระแสการลงทุนในอนาคตก็ยังเสี่ยงได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจโลกตกต่ำ
ที่มา nypost , vietnamplus , straitstimes
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี