ไวรัสมรณะ ยังคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกต่อเนื่องยอดตายพุ่งกว่าล้าน ติดเชื้อแล้วกว่า 37 ล้านราย เมียนมายังวิกฤติดับเพิ่มอีกกว่า 600 ศพ ส่วนอินเดีย ยอดป่วยพุ่งต่อเนื่อง ด้าน “ทรัมป์” อ้างหายป่วยมีภูมิคุ้มกัน
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อแล้ว รวม 37,786,413 ราย มีผู้เสียชีวิต 1,081,848 ราย รักษาหายแล้ว 28,374,689 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ สหรัฐอเมริกา มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 7,992,810 ราย เสียชีวิต 219,702 ราย ตามมาด้วยอินเดีย ติดเชื้อ 7,120,538 ราย เสียชีวิต 109,184 ราย บราซิล ติดเชื้อ 5,094,979 ราย เสียชีวิต 150,506 ราย รัสเซีย ติดเชื้อ 1,312,310 ราย เสียชีวิต 22,722 ราย และโคลัมเบีย ติดเชื้อ 911,316 ราย เสียชีวิต 27,834 ราย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้งประเทศเมียนมา ว่ากระทรวงสาธารณสุขเมียนมารายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงยืนยันผู้ติดเชื้อใหม่ 1,910ราย เพิ่มสถิติผู้ป่วยสะสมเป็นอย่างน้อย 27,974ราย รักษาหายอย่างน้อย 9,742ราย ขณะที่สถิติผู้เสียชีวิตสะสมเป็นอย่างน้อย 646 ราย เพิ่มขึ้น 48 คนในรอบวันที่ผ่านมา อนึ่ง สำหรับผู้เสียชีวิตเป็นชาวเมียนมา ทั้งหมด
ขณะที่ ประเทศอินโดนีเซีย พบผู้ป่วยสะสมกว่า 333,000 ราย ถือเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยติดเชื้อสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศสิงคโปร์ ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายวันในระดับสูง ทั้งนี้ แถลงการณ์ร่วมระหว่างกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์และอินโดนีเซียระบุว่า ผู้เดินทางตามข้อกำหนดดังกล่าวจะต้องได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเดินทางเข้า-ออกประเทศ
ที่ประเทศอินเดีย พบว่ามีผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเกินกว่า 7.1 ล้านรายแล้ว แม้ผู้ติดเชื้อรายวันจะเริ่มลดลงบ้าง แต่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นตลอด เช่นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อเกือบ 68,000 ราย ยอดรวมตามหลังสหรัฐฯ ไม่ถึง 1 ล้านราย ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 831 ราย ยอดรวมอยู่ที่ 109,000 ราย โดยรัฐบาลอินเดีย ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคต่อเนื่อง แม้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดยังอยู่ในขั้นวิกฤต
ที่ เมืองชิงเต่า ประเทศจีน มีรายงานว่าพบผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ เพิ่มอีก 6 คน โดยส่วนใหญ่มีความเชื่อมโยงกับ รพ.โรคทรวงอกชิงเต่า ซึ่งเมืองชิงเต่าได้ปิดโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว รวมถึงแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลกลางและห้ามเข้า-ออกอาคารที่ผู้ติดเชื้อรับการรักษาตัวอยู่ ตามมาตรการควบคุมโรค ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน รายงานว่าเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา จีนมีผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยัน 21 ราย แต่ตัวเลขดังกล่าวยังไมได้รวมยอดผู้ป่วยที่เมืองชิงเต่า ซึ่งไม่แสดงอาการ เพราะทางการไม่นับรวมเป็นผู้ป่วยที่มีการยืนยัน
อีกด้านหนึ่ง ที่ประเทศสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่าหายจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว โดยไม่มีความเสี่ยงจะแพร่เชื้อให้คนอื่น ทำให้สามารถกลับไปหาเสียงได้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังอ้างโดยไม่มีหลักฐาน ว่าขณะนี้เขามีภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้ทวิตเตอร์ต้องห้ามแชร์ข้อความ เนื่องจากผิดกฎการให้ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้ โดยประกาศของทรัมป์ มีขึ้น 1 วัน หลังจากแพทย์ประจำตัวเขา เผยว่า ทรัมป์ ไม่แพร่เชื้อแล้ว แต่ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเขาปลอดเชื้อแล้วหรือไม่
ส่วนนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เตรียมประกาศมาตรการใหม่ เพื่อรับมือวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในวันเดียวกันนี้ โดยหันไปทำงานร่วมกับผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากไวรัสดังกล่าวมากที่สุดในอังกฤษ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลังจากนักเรียน นักศึกษา กำลังกลับเข้าเรียนในสถานศึกษา
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานด้วยว่า ทางคณะผู้บริหารภูมิภาคลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับผลการหารือกับรัฐบาลกลาง ที่กรุงลอนดอน เพื่อยกระดับมาตรการควบคุมทางสังคม ตามเงื่อนไขใหม่ ประกอบด้วยเขตเมืองลิเวอร์พูลฮัลตัน โนว์สลีย์ เซฟตัน เซนต์ เฮเลนส์และเวอร์รัล จะอยู่ภายใต้เทียร์3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เป็นภูมิภาคแรกที่เข้าสู่มาตรการดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี