วันที่ 9 ธันวาคม 2563 สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เสนอบทความ A tour of Bangkok's spookiest sites ว่าด้วยสถานที่สุดเฮี้ยนในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวแนวสำรวจสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ โดย จัสติน ดันน์ (Justin Dunne) ชาวอเมริกันจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ใช้ชีวิตในเมืองไทยมากว่า 10 ปี จนรู้จักสถานที่ที่มีเรื่องเล่าอาถรรพ์ต่างๆ เป็นอย่างดี รับหน้าที่ไกด์นำเที่ยวให้กับชาวต่างชาติที่อยากลองของ
บทความนี้เขียนโดย คริส สคาลค์ (Chris Schalkx) เล่าว่า ที่มาของการตัดสินใจติดต่อกับ ดันน์ เพื่อเข้าร่วมการท่องเที่ยวประเภทนี้ เกิดจากภรรยาพูดขึ้นว่า “อย่ากลับมาบ้านจนกว่าจะไปชำระร่างกายที่วัดเสียก่อน (You are not coming home before you've cleansed yourself at the temple)” ซึ่งมาจากการที่ภรรยาชอบดูหนังสยองขวัญจากประเทศไทย แม้ภรรยาจะไม่ใช่คนไทย แต่ก็ทำให้เข้าใจความเชื่อของคนไทยที่จะไม่ไปยุ่งกับวิญญาณในพื้นที่ต่างๆ
ก่อนการทัวร์จะเริ่มขึ้น ดันน์ แจ้งเตือน สคาลค์ ผ่านอีเมลอย่างน้อย 5 ครั้ง ว่าการเดินสำรวจนี้จะทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างผิดธรรมชาติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และเมื่อได้ลงพื้นที่จริงพบว่าใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง ในการเยี่ยมชมสถานที่หลายแห่งที่เมื่อย่างก้าวไปถึงก็ไม่รู้สึกดี แม้จะไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่คำเตือนซ้ำๆ เหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกตลก โดย สคาลค์ พบกับ ดันน์ เป็นวันอาทิตย์ในตอนเช้า นัดพบกันที่ท่าเรือ “สะพานตากสิน (Saphan Taksin)” ศูนย์กลางการคมนาคมหลักแห่งหนึ่งในย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ
สิ่งแรกที่ไกด์ผู้นี้ให้นักท่องเที่ยวทำ คือการเซ็นสัญญาที่ระบุข้อความว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เรียกร้องความเสียหายใดๆ กรณีได้รับอันตรายจากภูติผีหรือมนต์ดำ (any ghosts or black magic that attaches themselves to me will be my own responsibility)” ก่อนจะมอบคริสตัลสีดำให้เก็บไว้ในกระเป๋า จากนั้นจึงพาไปยังสถานที่แรก “ท่าพระจันทร์ (Tha Prachan)” ตลาดเครื่องรางของขลังริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่นี่มีรูปแกะสลักหลายร้อยชิ้นจ้องมองจากชั้นวางที่ง่อนแง่น หนึ่งในนั้นคือรูปสิ่งมีชีวิตแปลกๆ แกะสลักจากไม้สีดำ ลักษณะมีเขี้ยวยาวและมีผมเหมือนแม่มด ตุ๊กตาทารกปั้นจากดินประดับอัญมณีสีแดงที่ดวงตา ซากกิ้งก่ารูปร่างพิกลพิการที่อยู่ในขวดน้ำมันสีน้ำตาล และตุ๊กตาลูกเทพที่จำลองจากเด็กทารก ซึ่งเชื่อกันว่าจะนำโชคลาภมาสู่ผู้ที่ครอบครอง
สถานที่ต่อมาไม่ไกลนัก นั่นคือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat University) ตั้งอยู่อีกฟากของถนน ที่นี่มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญคือการปราบปรามการชุมนุมของนักศึกษาที่มีแนวคิดฝ่ายซ้าย ในวันที่ 6 ต.ค. 2519 และถูกเรียกว่าเป็นเหตุการณ์นองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของไทย คาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ศพ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีเรื่องเล่าว่า ลิฟท์ที่คณะศิลปศาสตร์เคยมีนักศึกษาถูกทหารยิงเสียชีวิต และมีการทาสีแดงเพื่อปกปิดคราบเลือด และผู้ที่ไปใช้ลิฟท์ตัวนี้ในยามค่ำคืน เคยเจอปรากฏการณ์แปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้มาแล้ว
สถานที่ต่อไปคือโรงแรมแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากพระบรมมหาราชวังมากนัก คณะทัวร์เดินทางด้วยการนั่งรถสามล้อเครื่องมาที่นี่ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ห้องประชุมของโรงแรมเคยถูกใช้เป็นสถานที่เก็บศพชั่วคราวในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2535 (พฤษภาทมิฬ-ผู้แปล) นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กหญิงวัย 6 ขวบ เข้าห้องน้ำที่โรงแรม แล้วก็ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย ดันน์ เล่าถึงความเฮี้ยนของที่นี่ว่า บางครั้งแขกและพนักงานจะได้เห็นวิญญาณผู้ประท้วงจ้องมองมาจากในกระจก หรือได้ยินเสียงกดน้ำจากชักโครกตลอดทั้งคืน
ห่างจากโรงแรมไม่กี่ช่วงตึก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ผีกระสือ (Phi Krasue)” หญิงสาวที่มีเพียงศีรษะกับลำไส้ ล่องลอยไปในยามค่ำคืนเพื่อกินเนื้อและสิ่งปฏิกูล สคาลค์ เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า ในขณะที่กำลังพยายามหาเบาะแสที่จะได้พบเห็นผีกระสือ ก็สังเกตเห็นท่าทีพนักงานโรงแรมไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก ดันน์ เล่าว่า บางครั้งชาวทัวร์ล่าท้าผีก็ถูกไล่ออกมาเพราะผู้คนไม่อยากให้ใครไปล้อเล่นกับผี และนั่นทำให้การรับคณะทัวร์ครั้งหนึ่งจะจำกัดเพียงไม่เกิน 4 คน และเสียค่า รปภ. ไม่กี่บาท
ดันน์ ยังพาคณะทัวร์ไปเยี่ยมชมสถานที่รกร้างอีกหลายแห่ง เช่น ห้างสรรพสินค้า เรือนจำ และไนท์คลับ รวมถึงโรงภาพยนตร์ที่สภาพห้องฉายมืดมิดและผ้าขนหนูขึ้นรา ไกด์ผู้นี้เล่าว่า ในการมาทัวร์ครั้งหนึ่งเคยมีลูกทัวร์ที่เป็นผู้หญิงบอกว่ามีใครบางคนจ้องมองมาจากระเบียง ก่อนที่จะถึงสถานที่สุดท้ายในโปรแกรม ในเวลา 20.00 น. ที่นั่นเป็นอพาร์ตเมนท์เก่าแก่ริมถนนที่มีแสงไฟสลัวๆ โดยห้องหนึ่งในอาคารหลังนี้เคยเป็นคลินิกทำแท้ง ที่นี่เคยมีลูกทัวร์เล่าว่าถูกดึงผมบริเวณบันไดไม้ และลูกทัวร์รายนี้ตัดสินใจกลับบ้านทันที
สคาลค์ เล่าถึงบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้ว่า ต้องพยายามละสายตาไม่มองไปทางกระจกสภาพเก่าฝุ่นจับขนาดเท่าผนังข้างๆ ชั้นบนไม่มีหน้าต่าง มีประตูเรียงรายท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ บางห้องมีรองเท้าวางอยู่ด้านหน้าแต่บางห้องก็ไม่มี กระทั่งพบการนำไม้มาปิดผนึกทางขึ้นชั้นถัดไป พาลให้นึกในใจว่าหากถือเครื่องตรวจจับความถี่มาด้วย มันต้องส่งสัญญาณเสียงดังอย่างแน่นอน
หลังทัวร์จบลง สคาลค์ เลือกรับประทานบะหมี่เป็นมื้อค่ำ แต่กลับไม่ค่อยรู้สึกอยากกินอะไรเท่าใดนักเมื่อเทียบกับมื้อกลางวันเมื่อช่วงบ่าย มันอาจจะมาจากเรื่องเล่าของชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์และศพที่อาบไปด้วยเลือด จนต้องสั่งของหวานมารับประทานเพื่อสลัดความกระวนกระวายใจ และก่อนจะกลับถึงบ้าน ภรรยาของ สคาลค์ ได้ย้ำว่าขอให้แวะที่วัดก่อน แน่นอนว่า สคาลค์ ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ก็ได้ซื้อน้ำอัดลมสีแดงมาเซ่นไหว้ศาลพระภูมิของเพื่อนบ้าน
ขอบคุณเรื่องจาก : https://edition.cnn.com/travel/article/creepy-haunted-attractions-bangkok-haunt-tour/index.html?utm_source=feedburner&utm_medium=feed&utm_campaign=Feed%3A+rss%2Fcnn_latest+%28RSS%3A+CNN+-+Most+Recent%29
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี