โลกจับตาไทยหวนล็อกดาวน์สกัดโควิดระบาดรอบ2 ท่ามกลางเสียงปชช.โอดกระทบศก.
2 ม.ค. 2564 สื่อต่างประเทศหลายสำนักให้ความสนใจรายงานข่าวประเทศไทยจ่อนำมาตรการคุมเข้มพิเศษ หรือล็อกดาวน์ กลับมาใช้อีกครั้งหลังเผชิญสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 อาทิ สำนักข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์ เสนอข่าว Bangkok imposes partial lockdown to combat COVID-19 ระบุว่า ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ 2 ของโลกที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อในเดือน ม.ค. 2563 ดูเหมือนจะรอดพ้นสถานการณ์โรคระบาด โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมไม่ถึง 4,000 คนในเดือน พ.ย. 2563
แต่แล้วจู่ๆ กลับพบการระบาดใหญ่อีกครั้งในเดือน ธ.ค. 2563 โดยมีจุดเริ่มต้นที่ตลาดอาหารทะเลขนาดใหญ่ และลุกลามอย่างรวดเร็วจนมีผู้ติดเชื้อสะสมรวมล่าสุดกว่า 7,300 คน ในพื้นที่ 53 จังหวัดจากทั้งหมด 77 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้ติดเชื้อสะสมรวมกว่า 2,600 คน ต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2564 เป็นต้นไป เช่น ปิดสถานบันเทิง สนามมวย สนามชนไก่ อาบอบนวด แม้กระทั่งสถานเสริมความงามและสถานที่ออกกำลังกาย รวมถึงสถาบันการศึกษา และยังตั้งด่านตรวจคัดกรองมากกว่า 1 โหลรอบเมือง
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน (Taweesin Visanuyothin) โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า ทางการไม่ต้องการใช้มาตรการรุนแรงอย่างการปิดกั้นหรือการจำกัดเวลาเข้า-ออกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว แต่ต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์การระบาดขยายเป็นระลอกใหญ่ ทั้งนี้ ข้อจำกัดต่างๆ ทั่วประเทศ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-1 ก.พ. 2564 โดยให้เวลา 2 วันเพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัว
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า กระแสความไม่พอใจของประชาชนแพร่ขยายในพื้นที่ออนไลน์ของสังคมไทย โดยเฉพาะเจ้าของกิจการที่ได้รับผลกระทบ อาทิ Aksika Chantarawinji เจ้าของร้านสปา โพสต์ข้อความระบายความคับข้องใจบนเพจเฟซบุ๊กของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าในขณะที่ร้านของตนรักษามาตรการลดความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด วันนี้ต้องถูกสั่งปิดทั้งที่คนอีกมากมายยังใช้บริการรถไฟฟ้าทุกวัน ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้หลักจากการท่องเที่ยวและส่งออก ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าว
เช่นเดียวกับสำนักข่าว Bernama ของมาเลเซีย เสนอข่าว Thailand's 28 provinces face maximum control against COVID-19 pandemic ระบุว่า ทางการไทยกำหนดให้ 28 จังหวัด ซึ่งรวมถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด หลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ล่าสุดคือ 216 คน แบ่งเป็นระบาดในประเทศ 214 คน และอยู่ในสถานกักกันโรคของรัฐ 2 คน ขณะที่ กทม. ได้สั่งปิดสถานที่อันเป็นแหล่งรวมกลุ่มของคนจำนวนมากไปหลายประเภท รวมถึงโรงเรียน สนามกีฬา และสวนสนุก อย่างน้อย 2 สัปดาห์
ด้านเว็บไซต์ นสพ.New York Post สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว Bangkok shuts down venues as COVID-19 spreads ระบุว่า หลังจากประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่ม 279 คน และเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ศพ ในวันที่ 1 ม.ค. 2564 ทำให้ผู้บริหารของ 7 จังหวัดรวมถึงกรุงเทพฯ ที่ถูกระบุเป็นพื้นที่สีแดงอันหมายถึงเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ตัดสินใจสั่งปิดสถานที่ต่างๆ เช่น สถานบันเทิง เวทีมวย สถานที่ออกกำลังกาย รวมถึงขอความร่วมมือให้ร้านอาหารขายได้เพียงการซื้อกลับไปบริโภคที่อื่นเท่านั้นไม่ให้รับประทานในร้าน โดยมีผลบังคับใช้ถึงกลางเดือน ม.ค. 2564
รายงานข่าวยังกล่าวด้วยว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย เชื่อมโยงกับตลาดอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งตั้งอยู่ติดกับกรุงเทพฯ ทางทิศใต้ และบ่อนการพนันใน จ.ระยอง โดยยังพบผู้ติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับทั้ง 2 แหล่งมากที่สุด ส่วนผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ ในการระบาดระลอกใหม่นี้สะสมรวมอยู่ที่ 180 คนแล้ว
นอกจากนี้ยังพบสื่ออังกฤษอย่างเว็บไซต์ นสพ.Daily Mail เสนอข่าว Bangkok imposes partial lockdown to combat virus และสื่อกาตาร์อย่างเว็บไซต์ นสพ. Gulf Times เสนอข่าว Thailand eyes tougher measures amid virus second wave ซึ่งมีเนื้อหาในทำนองเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี