เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 สำนักข่าวอัลจาซีรา ของกาตาร์ เสนอรายงานพิเศษ Young people first: Indonesia’s COVID vaccine strategy questioned เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2564 ระบุว่า ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลก เลือกฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับผู้สูงอายุก่อนเป็นกลุ่มแรก เช่น อังกฤษ คนแรกที่ได้ฉีดวัคซีนมีอายุ 90 ปี ส่วน แคนาดา อายุ 89 ปี หรือ เยอรมนี เป็นผู้มีอายุ 101 ปี แต่ใน อินโดนีเซีย ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่เผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 รุนแรงที่สุด รัฐบาลที่นั่นกลับคิดต่างออกไป
อินโดนีเซียมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมรวม 836,718 คน และมีผู้เสียชีวิตรวม 24,343 ราย รัฐบาลเลือกที่จะฉีดวัคซีนให้กับประชากรวัยหนุ่ม-สาว หรือวัยทำงานก่อนหน้าผู้สูงอายุ โดยหลังจากที่ทยอยฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรสาธารณสุขจำนวน 1.3 ล้านคน และผู้มีอาชีพบริการสาธารณะ ซึ่งรวมถึงตำรวจ ทหาร ครู และเจ้าหน้าที่รัฐ อีก 17.4 ล้านคน ระหว่างวันที่ 13 ม.ค.-31 มี.ค.2564 เรียบร้อยแล้ว คิวต่อไปก็จะเป็นประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 - 59 ปี
นาเดีย วิเคโค (Nadia Wikeko) โฆษกกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย ชี้แจงว่า เหตุที่เลือกฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชากรวัยหนุ่ม-สาว หรือวัยทำงานก่อนผู้สูงอายุ เพราะวัคซีนชนิดนี้ที่พัฒนาโดย ซิโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech) บริษัทสัญชาติจีน ยังไม่มีผลการทดลองขั้นที่ 3 สำหรับประชากรสูงวัย โดยขณะนี้กำลังรอการพิจารณาของ BPOM หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของอินโดนีเซีย เพื่อให้มีความชัดเจนว่าวัคซีนชนิดนี้จะสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยกับผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือไม่
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า แผนการของรัฐบาลอินโดนีเซียกลายเป็นข้อถกเถียงในสังคม ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากสนับสนุนแนวคิดนี้ อาทิ ปูตู (Putu) หญิงวัย 56 ปี ชาวเมืองบาหลี กล่าวว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน โอกาสติดเชื้อโควิด-19 จึงน้อยกว่าประชากรวัยทำงาน การฉีดวัคซีนให้กับคนหนุ่ม-สาว จะทำให้พวกเขาสามารถไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ได้อย่างปลอดภัย ฝ่ายผู้เชี่ยวชาญกลับค่อนไม่เห็นด้วย
คิม มัลฮอลแลนด์ (Kim Mulholland) ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนวิทยา จาก London School of Hygiene and Tropical Medicine ซึ่งประจำมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นของออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า ผู้สูงอายุในจีนและภูมิภาคตะวันออกกลางที่ได้รับวัคซีน ร่างกายก็ตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่ต่างจากคนหนุ่ม-สาว ดังนั้นข้อโต้แย้งที่ว่าผู้สูงอายุในอินโดนีเซียยังไม่ควรได้รับวัคซีนเพราะยังไม่มีผลการทดลองในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า วารสารทางการแพทย์ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากฉบับหนึ่งของโลกอย่าง The Lancet ตีพิมพ์บทความที่มีเนื้อหาระบุว่า ผุ้สูงอายุโดยเฉพาะผู้มีร่างกายอ่อนแอ หรืออาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้ป่วยระยะยาว ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 อย่างไม่สมส่วน ดังนั้นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในประชากรกลุ่มนี้จึงเป็นความคาดหวังอย่างกระตือรือร้น
เช่นเดียวกับ มัลฮอลแลนด์ ที่กล่าวว่า หากดูการศึกษาทั้งหมดที่ดำเนินการไม่ว่าจะประเทศใดในโลก จะพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 คืออายุ รวมถึงอินโดนีเซียที่ผู้เสียชีวิตจากไวรัสนี้ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 60 ปี ดังรายงานของกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ที่ระบุว่า จำนวนผู้สูงอายุในอินโดนีเซียคิดเป็นเพียงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ แต่มีถึงร้อยละ 39 ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19
เรื่องนี้ทำให้ตนนึกถึงเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เป็นชาวอินโดนีเซีย ที่กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอาจหมายถึงการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) โดยมุ่งฉีดวัคซีนให้กับคนหนุ่ม-สาว เพราะเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการแพร่เชื้อสูง แต่ตนเห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้เป็นที่ประจักษ์ว่าวัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อและแพร่เชื้อ มีเพียงผลที่ว่าช่วยให้ผู้รับวัคซีนไม่มีอาการป่วยกรณีได้รับเชื้อเท่านั้น
อินโดนีเซียเป็น 1 ใน 6 ประเทศที่ซิโนแวคใช้เป็นพื้นที่ทดลองทางคลินิกระยะ 3 ของวัคซีนโควิด-19 ในชื่อวัคซีน “โคโรนาแว็ค (CoronaVac)” กับอาสาสมัคร 1,620 คน ในเดือน ส.ค.2563 โดยรัฐบาลอินโดนีเซียต้องการวัคซีน 125 ล้านโดส และยังสามารถจัดหาเพิ่มได้อีก 100 ล้านโดส ซึ่งทยอยส่งมอบไปแล้ว 18 ล้านโดส นอกจากนี้ ในเดือน ธ.ค.2563 รัฐบาลอินโดนีเซียยังทุ่มเงินสั่งซื้อวัคซีนจากผู้พัฒนาอีกหลายราย เช่น แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) โนวาแว็กซ์ (Novavax) และไฟเซอร์ (Pfizer) อีกทั้งมีแผนพัฒนาวัคซีนในประเทศ ช่วงกลางปี 2564
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีเพียงวัคซีนของซิโนแวค เป็นรายเดียวที่ได้รับการรับรองในอินโดนีเซีย และเป็นชนิดเดียวที่เริ่มทยอยแจกจ่ายไปแล้ว ปันจี ฮาดิโซมาร์โต (Panji Hadisoemarto) นักระบาดวิทยา มหาวิทยาลัย Padjadjaran บนเกาะชวา กล่าวว่า วัคซีนซิโนแวคเหมาะสมกับบริบทของอินโดนีเซีย เพราะวัคซีนของไฟเซอร์ต้องเก็บในอุณหภูมิติดลบ 70 องศาเซลเซียส ซึ่งอินโดนีเซียไม่มีความพร้อมด้านระบบห้องแช่แข็งสำหรับเก็บและกระจายวัคซีนดังกล่าว ต่างจากวัคซีนซิโนแวคที่ห้องเย็นที่มีอยู่ในประเทศสามารถรองรับได้
นอกจากนี้ วัคซีนซิโนแวค ยังเป็นวัคซีนประเภทเชื้อตาย ไม่ใช่วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อเป็น ซึ่งวัคซีนเชื้อตายนั้นบุคลากรในอินโดนีเซียคุ้นเคยกว่าเนื่องจากถูกใช้ฉีดให้กับประชากรเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันมาแล้วหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ดิกกี บูดิแมน (Dicky Budiman) นักระบาดวิทยาที่เคยทำงานในทีมยุทธศาสตร์ให้กับรัฐบาลอินโดนีเซีย ในสถานการณ์โรคระบาดมาแล้วหลายครั้ง ทั้งโรคซารส์ (SARS) เอดส์ (HIV) ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู วัณโรคและมาลาเรีย ระบุว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกา จะเป็นตัวเลือกแรกของตน เพราะสามารถเก็บได้ในสถานที่แบบเดียวกับการเก็บวัคซีนซิโนแวค
รองลงมามี 2 ยี่ห้อ คือไฟเซอร์และโมเดอร์นา (Moderna) เพราะแม้จะมีความยากในการขนส่ง แต่มีเทคโนโลยี RNA ที่ทำให้วัคซีนมีความยืดหยุ่นและสามารถจัดการกับการกลายพันธุ์ของไวรัสได้ ซึ่งแม้การกลายพันธุ์เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพของกลยุทธ์การใช้วัคซีน และพบการกลายพันธุ์ถึง 4 หมื่นครั้งแล้วในไวรัสโควิด-19 แต่วัคซีนซิโนแวคไม่มีความยืดหยุ่น มันจึงเป็นวัคซีนชนิดสุดท้ายที่ตนจะเลือก
บูดิแมน กล่าวต่อไปว่า ชาวอินโดนีเซียมีคำพูดที่ว่า “Tidak ada rotan, akar pun jadi” มีความหมายว่า “ทำในสิ่งที่มี..แม้มันจะไม่ดีก็ตาม” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบแอนติบอดี้อย่างเร็วในอินโดนีเซีย ซึ่งหมายถึงเครื่องมือทางระบาดวิทยาที่ใช้คัดกรองผู้โดยสารภายในประเทศภายในสนามบินอย่างไม่เหมาะสมเมื่อปี 2563 และตอนนี้ก็จะทำอีกครั้ง เมื่อมีวัคซีนซิโนแวคหลายล้านโดยก็จะใช้มัน
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า อินโดนีเซียมีแผนจะฉีดวัคซีนให้กับประชากรวัยทำงานราว 181.5 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 67 จกาประชากรทั้งประเทศ 273 ล้านคน ภายในเวลา 15 เดือน นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตว่า กลยุทธ์ของรัฐบาลอินโดนีเซียเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองปัจจัยด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม อาจิบ ฮัมดานี (Ajib Hamdani) ประธานแผนกการเงินและการธนาคาร สมาคมผู้ประกอบการรุ่นเยาว์แห่งอินโดนีเซีย มองว่า การตัดสินใจนี้เกี่ยวข้องกับข้อมูลประชากรด้วย เพราะอินโดนีเซียมีสัดส่วนประชากรวัยทำงานมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
ดังนั้นรัฐบาลย่อมมีสิทธิ์ให้ความสำคัญกับคนหนุ่ม-สาว เพราะหากไม่ให้ความสำคัญกับคนวัยนี้ ก็จะสร้างปัญหาใหญ่กับประเทศในภายหลัง แม้จะทราบว่าปัญหาแรกของสถานการณ์โรคระบาดคือสุขภาพไม่ใช่เศรษฐกิจ แต่นโยบายการฉีดวัคซีนนี้ สร้างความหวังในการแก้ปัญหาทั้ง 2 ไปพร้อมกัน เช่นเดียวกับ ฟิทรา ไฟซาล ฮัสเทียดี (Fithra Faisal Hastiadi) นักเศรษฐศาสตร์จาก University of Indonesia และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ของอินโดนีเซีย กล่าวว่า เมื่อพูดถึงสาธารณสุขย่อมหมายถึงเศรษฐกิจด้วย
เพราะสาธารณสุขนั้นมีผลต่อเศรษฐกิจ ทั้ง 2 ส่วนไม่แตกต่างกันอย่างแท้จริง บางคนอาจบอกว่าเมื่อเน้นด้านสาธารณสุขจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่ในทางกลับกัน การดูแลสุขภาพก็ไม่อาจทำได้หากไม่ทำให้เศรษฐกิจกลับมาเดินเครื่องได้ใหม่ ในแง่นี้รัฐบาลจึงต้องทำทั้ง 2 ด้าน กลยุทธ์การฉีดวัคซีนที่อินโดนีเซียดำเนินการ จะช่วยให้ประชาชนหลายล้านคนได้กลับมาทำงาน เพราะเมื่อดูภาคส่วนที่มีคนว่างงานมากที่สุดคือการท่องเที่ยวและคมนาคมขนส่ง แต่ภาคส่วนนี้เหล่าส่งผลทวีคูณที่สุดในแง่ผลผลิตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นหากคนทำงานในอาชีพภาคส่วนเหล่านี้ได้รับการฉีดวัคซีนและกลับไปทำงาน เป้าหมายที่อินโดนีเซียจะฟื้นฟูเศรษฐกิจในปี 2564 ย่อมมีทางเป็นไปได้
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอาจช่วยปลอบประโลมใจชาวอินโดนีเซียหลายพันคนที่ศูนย์เสียญาติผู้ใหญ่ไปจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรืออีกนับสิบล้านคนที่อาศัยอยู่ในครอบครัวขยายซึ่งในบ้านมีประชากรหลายช่วงวัยอาศัยอยู่รวมกัน ขณะที่ บูดิ กุนาดี ซาดิกิน (Budi Gunadi Sadikin) รัฐมนตรีสาธารณสุขของอินโดนีเซีย ระบุว่า ผู้สูงอายุควรรอวัคซีนของไฟเซอร์และแอสราเซเนกา เพราะมีผลการทดสอบกับประชากรวัยดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ ยังไม่มีสัญญาณว่าประชากรวัย 60 ปีขึ้นไปในอินโดนีเซียจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เมื่อใด บูดิแมน คาดว่า คงไม่มีเรื่องนี้ปรากฏจนกว่าจะถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ส่วน มัลฮอลแลนด์ มองว่า แผนนี้จะทำให้ผู้สูงอายุในอินโดนีเซียเสี่ยงกับการเสียชีวิตอีกหลายพันคน เพราะแม้คนหนุ่ม-สาวจะได้รับวัคซีน แต่ก็ยังเสี่ยงได้รับเชื้อแบบไม่มีอาการและนำพาเชื้อกลับไปที่บ้าน การฉีดวัคซีนให้ประชากรวัยหนุ่ม-สาว จึงไม่ช่วยลดอัตราการสียชีวิตลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี