เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 เว็บไซต์สถานีวิทยุ National Public Radio (NPR) สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ 'You Can't Treat If You Can't Empathize': Black Doctors Tackle Vaccine Hesitancy ว่าด้วยบุคลากรสาธารณสุขชาวอเมริกันที่เป็นคนผิวดำ พยายามให้ความรู้กับเพื่อนร่วมชาติสีผิวเดียวกัน หวังลดกระแสความวิตกกังวลที่นำไปสู่การปฏิเสธการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ พบคนผิวดำเสียชีวิตมากกว่าคนสีผิวหรือเชื้อชาติอื่นๆ เช่นเดียวกับที่ผลสำรวจพบคนผิวดำเพียงร้อยละ 35 เท่านั้นที่เต็มใจฉีดวัคซีน
ลิซา คูเปอร์ (Lisa Cooper) ผู้อำนวยการ Johns Hopkins Center for Health Equity กล่าวว่า คนผิวดำ หรือชาวแอฟริกัน-อเมริกันในสหรัฐฯ มีประวัติศาสตร์การถูกเลือกปฏิบัติ นั่นทำให้เกิดความสงสัยและไม่ไว้วางใจ บุคลากรสาธารณสุขจึงควรรับฟังข้อกังวลของประชาชนและเชื่อมต่อกับชุมชนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าถึงได้เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยกุญแจสำคัญอยู่ที่การให้ผู้คนได้รู้สึกว่าพวกเขาสามารถตัดสินใจด้านสุขภาพได้ด้วยตนเอง
และเนื่องจากแหล่งที่มาหลักของคำแนะนำด้านสุขภาพมักมาจากแพทย์และพยาบาลระดับปฐมภูมิ วงการสาธารณสุขจึงจำเป็นต้องทำงานเพื่อสร้างความไว้วางใจและสร้างการสื่อสารที่ดีระหว่างบุคลากรกับผู้ป่วยด้วย ซึ่งตั้งแต่ช่วงก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19 ชนกลุ่มน้อยต่างๆ มักใช้เวลาสั้นๆ ในการพบแพทย์ พวกเขาถูกขัดจังหวะมากขึ้นและไม่ได้มีส่วนร่วมในการสนทนามากนัก ดังนั้นตนจึงเข้ามาช่วยฝึกฝนให้แพทย์สามารถสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพื่อให้ผู้ปาวยมีข้อมูลการสนับสนุนจากบุคลากรในการสนทนาและนัดหมาย
โรเบิร์ต ดรัมมอนด์ (Robert Drummond) แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (Urgent Care Physician) เมืองลอส แองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้โพสต์คลิปวีดีโอบนเว็บไซต์ยูทูบและอิสตาแกรม อธิบายเรื่องราวของไวรัสโควิด-19 อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ยอมรับว่า การเลือกปฏิบัติต่อคนต่างสีผิวในระบบสาธารณสุข เป็นสาเหตุสำคัญในความพยายามเข้าถึงชุมชนคนแอฟริกัน-อเมริกัน เพราะความรู้สึกไม่ไว้วางใจนั้นฝังรากลึก และการรักษาคงไม่สามารถทำได้หากไม่เข้าใจและเข้าถึงเสียก่อน
ประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดและกลายมาเป็นความหวาดระแวงในหมู่คนผิวสีในสหรัฐฯ สามารถย้อนไปได้ถึงยุคที่มีการทดลองทางการแพทย์กับทาส รวมถึงในศตวรรษที่ 20 (ปี 2443-2542) ที่ช่วงกลางของยุคดังกล่าว มีการปล่อยให้คนผิวสีในเมืองทัสกีจี รัฐอลาบามา ไม่ได้รับการรักษาโรคซิฟิลิส เพื่อให้นักวิจัยสามารถเห็นอาการของโรคดังกล่าวได้อย่างชัดเจน หรือกรณีของ เฮนเรียตตา แล็กส์ (Henrietta Lacks) หญิงผิวสีที่ถูกวิจัยโรคมะเร็งโดยไม่รู้ตัว
แม้ต่อมาจะมีการปฏิรูปการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์โดยมีระบบคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบเพื่อออกแบบการศึกษาโดยยึดหลักความปลอดภัยและจริยธรรม แต่ในความเป็นจริง การเลือกปฏิบัติต่อคนผิวดำยังคงดำรงอยู่ ดรัมมอนด์ กล่าวว่า ในปี 2559 ยังมีนักศึกษาแพทย์ที่เข้าใจว่าคนผิวดำมีความทนทานต่อความเจ็บปวดสูงกว่าคนผิวขาว มีตั้งแต่ที่เชื่อว่าเพราะมีผิวหนังที่หนากว่า หรือสามารถรับความเจ็บปวดได้มากกว่า ดังนั้นจึงไม่ต้องให้ยามากนักก็ได้ เป็นต้น
คริสตามารี โคลแมน (Kristamarie Collman) แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Physician) เมืองออแลนโด รัฐฟลอริดา เล่าถึงข้อมูลผิดๆ ที่ผู้คนเชื่อเกี่ยวกับวัคซีน เช่น การฉีดวัคซีนเท่ากับการเข้าไปรับเชื้อโควิด-19 มาไว้ในร่างกายบ้าง หรือวัคซีนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม (DNA) บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่แม้จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ข้อมูลที่เป็นเท็จมักถูกส่งต่อและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่า และวันนี้ตนใช้แอพพลิเคชั่น ติ๊กต๊อก (TikTok) ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า Annals of Internal Medicine วารสารทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ฉบับหนึ่งในสหรัฐฯ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่ชี้ว่า คนผิวสีมีแนวโน้มเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ หากมาจากบุคลากรสาธารณสุขที่เป็นคนสีผิวเดียวกัน โคลแมน ให้ความเห็นว่า สำหรับบางคนแล้วมันมีความหมายมากกับการที่ข้อมูลต้องมาจากคนที่เหมือนกับพวกเขา หรือผู้คนที่พูดเหมือนกับพวกเขา
แต่ในความเป็นจริง จำนวนแพทย์ผิวดำมีเพียงร้อยละ 5 ของแพทย์ทั้งหมดในสหรัฐฯ เท่านั้น มาร์ค โมเรียล (Marc Morial) ประธาน National Urban League กล่าวว่า ตยไม่สนับสนุนให้ผู้คนรับคำแนะนำทางการแพทย์จากตน หรือจากผู้มีชื่อเสียงผิวสีคนอื่นๆ แต่ผู้มีชื่อเสียงทุกคนสามารถเป็นผู้กระจายข้อความที่ยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่เป็นคนผิวสี ผู้ซึ่งสามารถไว้วางใจได้และจะไม่บอกว่าสิ่งนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพหากไม่เป็นเช่นนั้นจริงๆ
กิดา ทอมป์สัน (Kida Thompson) แพทย์ปฐมภูมิ (Primary Care Physician) เมืองเอล ปาโซ รัฐเท็กซัส กล่าวว่า ตนสร้างความไว้วางใจกับผู้ป่วยด้วยความซื่อสัตย์ต่อความกังวลของตนเอง นั่นรวมภึงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 อย่างรวดเร็วและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ช่วงเดือน ธ.ค. 2563 ตนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน จนมั่นใจว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงและผลข้างเคียงน้อย ก่อนจะตัดสินใจฉีดวัคซีนแทนที่จะยืดความเสี่ยงในการติดเชื้อออกไป โดยได้รับวัคซีนที่พัฒนาโดย โมเดอร์นา เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2563 เพื่อเป็นตัวอย่างกับผู้ป่วยคนอื่นๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี