เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2564 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เสนอรายงานพิเศษ Myanmar coup: Tales from the streets of sacrifice and fear ว่าด้วยเรื่องเล่าจากชาวเมียนมาในสถานการณ์การประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหาร ซึ่งหากนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2564 ที่กองทัพได้ทำรัฐประหารและประชาชนได้ออกมาชุมนุมประท้วง เบื้องต้นข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 149 คน แต่เชื่อกันว่าน่าจะมีมากกว่านั้น (หมายเหตุ : บุคคลที่ให้ข้อมูลในรายงานข่าวนี้ถูกปกปิดชื่อ-นามสกุลจริง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)
1.ผู้หญิงที่สู้เพื่ออนาคตของลูกสาว (The woman fighting for her daughter's future) : เรื่องราวของ Naw หญิงเชื้อสายกะเหรี่ยง ซึ่งถือเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศ เธอมีลูกสาววัย 1 ขวบ Naw กล่าวว่า ในขณะที่ผู้ประท้วงทั่วไปเรียกร้องให้ปล่อยตัว อองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และ วินมยิน (Win Myint) ประธานาธิบดี รวมถึงยืนยันผลการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2563 แต่สำหรับผู้ประท้วงที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มีความต้องการลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือการจัดตั้งสหภาพประชาธิปไตยแห่งสหพันธรัฐสำหรับคนทุกเชื้อชาติ
“กองทัพใช้วิธีแบ่งแยกแล้วเพิชิตมาหลายปี แต่วันนี้ทุกเชื้อชาติรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ฉันมีลูกสาวตัวน้อยๆ เพียงคนเดียว ฉันไม่อยากให้เธอเป็นทุกข์จากการกระทำของฉัน ฉันเข้าร่วมการประท้วงเพราะไม่อยากให้ลูกของฉันเติบโตภายใต้ระบอบเผด็จการอย่างที่ฉันเคยผ่านมา ก่อนเข้าร่วมประท้วงฉันได้ฝากลูกสาวไว้กับสามี บอกเขาว่าถ้าฉันตายหรือถูกจับ ขอให้คุณดูแลลูกของเราและมีชีวิตอยู่ต่อไป เราจะทำให้มันจบในรุ่นเรา ไม่ส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังอีก” Naw กล่าว
2.บุคลากรสาธารณสุขผู้ช่วยให้แพทย์หลบหนี (The medical officer helping doctors flee) : เรื่องราวของ Nanda บุคลากรสาธารณสุขในเมืองมะริด ซึ่งช่วยพาแพทย์หลบหนีจากการถูกไล่ล่าจากกองทัพเนื่องจากเข้าร่วมประท้วงด้วยการอารยขัดขืน Nanda เล่าว่า ค่ำวันที่ 7 มี.ค. 2564 ก่อนที่จะมีการประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากเคหสสถานยามวิกาล ตนขับรถพาครอบครัวที่สามีเป็นแพทย์ด้านกระดูกส่วนภรรยาเป็นอายุรแพทย์ไปซ่อนตัวยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐโทรศัพท์มาที่โรงพยาบาลเพื่อขอรายชื่อแพทย์และพยาบาลที่เข้าร่วมประท้วง
“แพทย์ประจำการทุกคนที่ทำงานกับโรงพยาบาลของรัฐต้องการหลบซ่อนตัวเพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากถูกจับ ฉันได้รับมอบหมายให้ช่วยบางคนหลบหนี หมอที่มากับฉันถามว่าทำไมพวกเราต้องหลบซ่อนราวกับเป็นอาชญากรในขณะที่พวกเขาทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ฉันรู้สึกมวนท้องเพราะไม่คิดเลยว่าต้องพาหมอไปหลบซ่อนทั้งที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ตั้งแต่พรุ่งนี้ ชาวมะริดจะเหลือผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คนที่จะดูแลพวกเขา จะไม่มีศัลยแพทย์เพียงพอที่จะรักษาผู้ประท้วงหรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องแต่โชคร้ายถูกทหารทุบตี จะไม่มีสูตินรีแพทย์ช่วยผู้หญิงทำคลอด บุคลากรสาธารณสุขมีความจำเป็นของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาไปแล้ว” Nanda กล่าว
3.ชายหลังกล้อง (The man behind the camera) : Maung เป็นคนทำภาพยนตร์ที่อาศัยอยู่ในเมืองย่างกุ้ง เมื่อการประท้วงเริ่มขึ้น เขาใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพและวีดีโอแบบวันต่อวันเพื่อบอกเล่าสถานการณ์ เหตุการณ์หนึ่งที่จำได้ไม่รู้ลืมคือวันที่ 28 ก.พ. 2564 ผู้ประท้วงร้องตะโกนพร้อมกับทุบขวดและกระป๋อง จากนั้นมีเจ้าหน้าที่ไม่ต่ำกว่า 100 นายที่ตนไม่รู้ว่าเป็นทหารหรือตำรวจ ระดมยิงทั้งระเบิดเสียง ระเบิดแก๊สและกระสุนใส่ผู้ประท้วงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ตนรีบวิ่งไปในเส้นทางที่เตรียมไว้หลบหนีและถ่ายทำต่อไป วันนั้นผู้ประท้วงส่วนใหญ่ก็หนีรอด
“ทุกวันนี้เมื่อไปในที่ที่มีการประท้วง ผมต้องสวมหมวกกันน็อกและถุงมือกันความร้อน เราพยายามหยิบกระป๋องแก๊สน้ำตาขว้างกลับไปถ้าทำได้ แต่โดยทั่วไปจะใช้วิธีคลุมด้วยผ้าแล้วเทน้ำราด ผู้ประท้วงหลายคนสวมหน้ากากกันแก๊สราคาถูกที่ป้องกันไม่ได้เต็มที่ เราพบว่าเครื่องดื่มโคลามีประสิทธิภาพที่สุดในการล้างแก๊สน้ำตาจากใบหน้า ในฐานะที่เป็นคนทำหนังและผู้ประท้วง ผมตัดสินใจทำหนังสั้นเผยแพร่ทุกวัน เมื่อย้อนกลับไปดู ผมพบว่าการต่อต้านเปลี่ยนไปอย่างไร จากการประท้วงโดยสงบสู่ครั้งที่เราต้องเสี่ยงชีวิต นี่มันเหนือจริง (Surreal) ยิ่งกว่าหนังเรื่องใดๆ” Maung กล่าว
4.ผู้หญิงที่ตกอยู่ในวงล้อมกองกำลังทหาร (A woman trapped by military forces) : Phyo เป็นหนึ่งในนักวิจัยจำนวน 200 คนที่เข้าร่วมประท้วงในเขต Sanchaung ของเมืองย่างกุ้ง และมีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 40 คน ในวันที่ 8 มี.ค. 2564 เวลา 14.00 น. ผู้ประท้วงเห็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งกวักมือเรียกให้เข้าไปข้างใน กองกำลังฝ่ายความมั่นคงรออยู่ด้านนอกหวังให้ผู้ประท้วงที่เป็นหญิง 6 คน และชาย 1 คน กระทั่งเวลา 18.30 น. ผู้ประท้วงต้องคิดแผนหลบหนีเพราะเริ่มตระหนักว่ากองทัพไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่
“เจ้าของบ้านบอกเราเกี่ยวกับถนนและสถานที่ที่น่าจะปลอดภัยเหมาะกับการหลบหนีและซ่อนตัว เราทิ้งข้าวของไว้กับเจ้าของบ้านหลังแรก ฉันต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นการสวมโสร่งเพื่อให้เหมือนชาวบ้านทั่วไป พร้อมกับถอนการติดตั้งแอปพลิเคชั่นหลายตัวในโทรศัพท์มือถือ และนำเงินสดสำรองออกมาใช้ เราใช้เวลาทั้งคืนในสถานที่ที่ปลอดภัยอีกแห่ง กระทั่งรุ่งเช้าเราได้ยินว่ากองกำลังฝ่ายความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว” Phyo กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี