วอชิงตัน/นิวยอร์ก (เอเอฟพี/รอยเตอร์) - กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำธุรกิจค้าไม้และไข่มุกของรัฐบาลเมียนมา ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างหารายได้ให้กับรัฐบาลทหาร เพื่อกดดันรัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจปกครองประเทศมาตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ด้านองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ระบุเมียนมากำลังเผชิญกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารจากเหตุรัฐประหารและวิกฤตการณ์การเงินที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้ชาวเมียนมาหลายล้านคนประสบปัญหาอดอยากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ใช้มาตรการลงโทษเมียนมา ทิมเบอร์ เอนเตอร์ไพรซ์ และ เมียนมาเพิร์ล เอนเตอร์ไพรซ์ ซึ่งกำกับดูแลการส่งออกไม้และไข่มุกจากเมียนมา มาตรการลงโทษนี้มีเป้าหมายในการจำกัดทั้งสองบริษัทในการเข้าถึงระบบการค้าและการเงินของโลกด้วยการห้ามบุคคลและบริษัทของสหรัฐฯ รวมถึงธนาคารในการทำธุรกิจกับบุคคลและบริษัทที่เกี่ยวข้อง การลงโทษดังกล่าวยังรวมถึงการอายัดทรัพย์สินของทั้งสองบริษัทที่อยู่ในสหรัฐฯ ด้วย
แอนเดรีย กัคคิ ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า กองทัพเมียนมามีรายได้อย่างมากจากรัฐวิสาหกิจในตลาดแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ การตัดสินใจของสหรัฐฯ ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการที่สหรัฐฯ ยึดมั่นพุ่งเป้าไปที่ช่องทางเงินทุน และทำให้ผู้ที่ทำรัฐประหารและก่อความรุนแรงต้องมีส่วนรับผิดชอบขณะที่แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า การลงโทษของสหรัฐฯ ล่าสุดนี้เป็นการย้ำถึงข้อความของสหรัฐฯ ที่ส่งไปยังกองทัพเมียนมาว่า สหรัฐฯจะยังคงตั้งเป้าจัดการกับช่องทางทางการเงินและส่งเสริมให้มีการรับผิดชอบในการก่อรัฐประหารและใช้ความรุนแรงกับประชาชน และสหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนประชาชนเมียนมาและความพยายามในการต่อต้านรัฐประหาร พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้กองทัพหยุดใช้ความรุนแรง ปล่อยผู้ที่ถูกจับกุมไปอย่างไม่เป็นธรรมและคืนประชาธิปไตยให้กับเมียนมา
มาตรการลงโทษครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังหาทางกดดันกองทัพเมียนมาเพิ่มเติมหลังจากที่ก่อรัฐประหารและยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ หลังการยึดอำนาจประชาชนรวมตัวประท้วงเป็นรายวันและกองทัพต้องใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 738 คน และถูกจับกุมอีก 3,300 คน ในฐานะนักโทษการเมือง
ขณะที่รายงานของโครงการอาหารโลก หรือ WFP ของยูเอ็นระบุว่า ชาวเมียนมาราว 3.4 ล้านคนจะต้องดิ้นรนเพื่อให้มีอาหารรับประทานในอีก 3 – 6 เดือนข้างหน้า และชาวเมียนมาที่อยู่ในเขตเมืองจะได้รับผลกระทบหนักสุด เนื่องจากปัญหาตกงานที่เพิ่มขึ้นในภาคการผลิต การก่อสร้าง และบริการต่างๆ รวมถึงราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานดังกล่าวยังระบุว่า ราคาข้าวและน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารตามท้องตลาดในเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5 และร้อยละ18 ตามลำดับนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และมีสัญญาณบ่งชี้ว่าครัวเรือนในนครย่างกุ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าของเมียนมา กำลังอดอาหารบางมื้อ กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยลง และมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น โครงการอาหารโลกได้วางแผนขยายการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า เพื่อช่วยเหลือชาวเมียนมาราว 3.3 ล้านคน และขอระดมเงินบริจาคราว 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3,300 ล้านบาท)
นายสตีเฟน แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกประจำเมียนมาระบุในแถลงการณ์ว่า ผู้คนที่ยากจนในเมียนมากำลังตกงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่อาจหาซื้ออาหารได้ ประเทศต่างๆ จึงต้องร่วมกันช่วยเหลือชาวเมียนมาในทันที เพื่อบรรเทาความยากลำบากและป้องกันภาวะถดถอยด้านความมั่นคงทางอาหารที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เหตุรัฐประหารในเมียนมาทำให้ระบบธนาคารหยุดชะงักและธนาคารหลายแห่งต้องปิดบริการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ไม่อาจดำเนินธุรกรรมทางการเงินและประชาชนก็ถอนเงินที่ฝากไว้ไม่ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี