17 ก.ค. 2564 เว็บไซต์ นสพ.The Washington Post สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ As vaccinations accelerate and the coronavirus retreats, Brazil finally allows itself to hope for better days ว่าด้วย “มาเนาส์ (Manaus)” เมืองเอกของรัฐอามาโซนัส ทางภาคเหนือของประเทศบราซิล ซึ่งที่นี่อาจถือเป็น “ความหวังแรก” ในดินแดนที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกติดต่อกันยาวนานหลายเดือน
รายงานเปิดเรื่องโดยชายหนุ่ม อัลเด ซิลวา (Aldei Silva) ก้าวเท้าออกจากโรงพยาบาล เขาถอดหน้ากากที่เคยสวมปิดปาก-จมูก และมองไปที่ลานรอบๆ บรรยากาศช่างดูสงบสุข ไม่มีครอบครัวใดร้องขอความช่วยเหลือ ไม่มีขบวนรถพยาบาล ไม่มีผู้ป่วยที่ถูกปฏิเสธการรักษาและปล่อยให้เสียชีวิต ไม่มีความโกลาหลในการดูแลผู้ป่วยอาการหนัก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ที่เมืองนี้ ร้านค้ากลับมาเปิดขายน้ำดื่ม ผู้คนพูดคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงหัวเราะ
ซิลวารู้สึกโล่งใจ พลางกล่าวขอบคุณพระเจ้า มันเคยมีความสิ้นหวังอย่างที่สุดที่นี่ แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว นี่คือสวรรค์ ในที่สุดวันที่ดีกว่าก็มาถึงมาเนาส์ เมืองที่มีประชากร 2 ล้านคน ที่นี่ทำให้โลกได้ประจักษ์ถึงอานุภาพการทำลายล้างของไวรัสโควิด-19 ในประเทศกำลังพัฒนา แต่ภายหลังเผชิญมรสุมโรคระบาด 2 ระลอก ปัจจุบันโรงพยาบาลส่วนใหญ่ไม่มีผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งเดือน ก.ค. 2564 อาจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤติโรคระบาดครั้งใหญ่ รัฐอามาโซนัส เคยมี 1 วันที่ไม่มีการรายงานผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 แม้แต่รายเดียว
อุลเดเอีย กัลเวา (Uildeia Galvao) หัวหน้าแพทย์ประจำหอผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาล 28 สิงหาคม (Hospital 28 de Agosto) กล่าวว่า เรามีหลายสัปดาห์ที่แทบไม่เจอใครแสดงอาการป่วยจากไวรัสโควิด-19 เลย ซึ่งปัจจัยพื้นฐานมาจากการฉีดวัคซีน แต่ก่อนจะมาถึงวันนี้ มาเนาส์เคยเป็นเมืองแรกของบราซิลที่ระบบสาธารณสุขล่มสลาย และแม้จะมีช่วงเวลาได้พักหายใจบ้าง แต่หลังจากนั้นที่นี่ก็เผชิญกับไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์สายบราซิล หรือแกมมา หรือชื่อรหัสทางวิทยาศาสตร์ว่า P.1
บรรดานักวิจัยเฝ้ามองมาเนาส์ ในฐานะเมืองที่น่าศึกษากรณีไวรัสสามารถระบาดได้โดยไม่ได้รับการบรรเทา ปัจจุบันหากไม่นับสหรัฐฯ บราซิลคือประเทศที่ได้ฝังศพผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 มากกว่าที่ใดๆ และในขณะที่การฉีดวัคซีนดำเนินไปอย่างล่าช้าในหลายประเทศ มาเนาส์เป็นเมืองแรกๆ ของบราซิลที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประชากรวัยผู้ใหญ่ร้อยละ 75 ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม มากกว่าอัตราเฉลี่ยทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 55 แม้แต่คนหนุ่ม-สาว อายุ 20 ต้นๆ ในมาเนาส์ก็ยังได้รับการฉีดวัคซีนด้วย
ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ที่มาเนาส์ลดลง ชาวบราซิลในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศต่างมีความหวังว่าการบรรเทาทุกข์จะถึงในไม่ช้า การณรงค์ให้ฉีดวัคซีนเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่่สัปดาห์ทีผ่่านมา ชาวบราซิลร้อยละ 94 ระบุว่าตนเองต้องการฉีดวัคซีน และในวันที่ 12 ก.ค. 2564 ที่ผ่านมา บราซิลมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 ชาวแดนแซมบาได้วางแผนไปถึง 2 เทศกาลที่มีชื่อเสียงของประเทศ คือการฉลองส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2564 และงานคาร์นิวัลในปี 2565
นี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเตือนแล้วเตือนอีกด้วยความหวาดกลัว กำลังเริ่มมีความหวัง เรนาโต คฟูรี (Renato Kfouri) หัวหน้าแผนกสร้างภูมิคุ้มกัน สมาคมกุมารเวชศาสตร์ของบราซิล กล่าวว่า ความคาดเดาไม่ได้คือเครื่องหมายของโควิด-19 แต่วันนี้การล่าถอยของโรคระบาดระดับประเทศได้ผ่านมาเนาส์เป็นที่แรก มันอาจเป็นกระจกสะท้อนสิ่งที่คุณคาดหวังว่าจะได้เห็นในส่วนอื่นๆ ของประเทศ
วันนี้ชาวเมืองมาเนาส์ได้สัมผัสอากาศของผู้รอดชีวิตจากเรืออัปปาง พวกเขาปลาบปลื้มที้รอดชีวิตมาได้ แต่ประสบการณ์นี้ได้เปลี่ยนพวกเขาไปตลอดกาล เป็นเวลากว่า 1 ปีที่เมืองนี้ประสบกับโรคกลัวที่แคบ โดดเดี่ยวตามสภาพทางภูมิศาสตร์ และปกคลุมโดยโรคร้าย ผู้คน 2 ล้านคนถูกทิ้งไว้กลางอเมซอน ไม่มีทางรอดและไม่มีทางเลือกมากนัก มีผู้คนเสียชีวิตกว่า 9,200 รายในเมือง ผู้รอดชีวิตหลายคนสูญเสียคนที่รัก ตอนนี้ความปวดร้าวมันอยู่แค่ใต้พื้นผิว เมื่อลองคุยกับใครก็ได้สักไม่กี่นาทีมันก็จะปรากฏให้เห็น
มาร์เซีย เฟรตัส (Marcia Freitas) หญิงวัย 44 ปี กล่าวว่า มันเหมือนเป็นรอยสักของตน และมันไม่มีวันลืมได้เลย ระบบสาธารณสุขที่ล่มสลายในปี 2563 พรากชีวิตทั้งยาย พ่อสามีและป้าไป มีคนจำนวนมากตายพร้อมกัน วันนั้นเตียงกำลังจะไม่เหลือ ตนพายายขึ้นรถตระเวนหาแต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาลยายก็เสียชีวิต พ่อสามีก็เสียชีวิตในวันเดียวกัน และสุดท้ายป้าก็ยอมจำนนต่อชะตากรรม
เฟรตัส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เฝ้ามองบางคนในเมืองที่พยายามก้าวออกจากความเจ็บปวด แต่บางวันก็รู้สึกติดขัด เพราะหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เลวร้าย ไวรัสโควิด-19 สร้างความสูญเสียไว้มากเหลือเกิน แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่าจะเก็บความโศกเศร้าทั้งหมดไว้ที่ใด และตนยังเห็นความพยายามแบบเดียวกันฝังอยู่ในสีหน้าของคนรอบข้าง ขณะที่เพื่อนของเฟรตัส คาร์ลา ลิมา (Carla Lima) แม้ครอบครัวของเธอจะรอดจากไวรัสโควิด-19 ระบาดระลอกแรกมาได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์สายแกมมา ภายในเวลาไม่กี่วัน ทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายต่างล้มป่วย
จำนวนผู้ป่วยล้นเกินระบบสาธารณสุขรับได้และนำไปสู่การขาดแคลนออกซิเจน ลิมาตระเวนทั่วเมืองเพื่อหาออกซิเจนแต่ก็ไม่ได้อะไร และใช้เวลา 3 วันในการรอเพื่อได้มาแค่หลอดเดียว แต่มันสายเกินไปแล้ว ญาติทั้ง 3 ของลิมาสิ้นใจ วันนี้ครอบครัวเหลือเพียงตัวเธอกับน้องสาวเท่านั้น ลิมา เล่าว่า ตนตื่นมาด้วยอาการกรีดร้องตลอดเวลา หลายครั้งก็นอนไม่หลับ ต้องกินยาแก้อาการซึมเศร้า มันไม่มีทางลืมอะไรแบบนี้ได้ มันความความโกลาหล
ที่สุสานแห่งหนึ่งในย่านชานเมืองมาเนาส์ อูลิสเซส ซาเวียร์ (Ulisses Xavier) ผู้ดูแลหลุมศพ ยังคงทำงานฝังศพพร้อมกับสวมชุดป้องกันเต็มรูปแบบนับตั้งแต่เริ่มสถานการณ์โรคระบาด และแม้ทุกวันนี้แทบจะไม่ได้ฝังศพผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 แล้ว แต่ก็ยังไม่ผ่อนคลายการป้องกันที่ทำมา เขาวางมือที่สวมถุงมือบนไม้กางเขนจำนวนนับพันที่ประดับบนหลุมศพของผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 พวกเขาไปและไป มันเหมือนกับมองออกไปในทะเล
ที่นี่เคยเป็นสนามฟุตบอลอันเป็นจุดที่กลุ่มผู้ดูแลสุสานมาร่วมกลุ่มเล่นฟุตบอล แต่เมื่อการะบาดระลอก 2 มาถึง พวกเขายอมสละพื้นที่ให้สร้างเป็นสุสานเพิ่มเติม ซาเวียร์มองออกไปยังที่โล่ง และคิดถึงวันเหล่านั้นที่เขาหวังว่ามันจะไม่กลับมาอีก มันเหมือนกับพื้นที่สงคราม แต่เป็นการทำสงครามกับไวรัส และพวกเราพ่ายแพ้ แต่วันนี้ด้วยการฉีดวัคซีน ทำให้เรากำลังจะกลับมาแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี