สหรัฐฯ บังคับฉีดวัคซีนต้านโควิดผู้เข้าใช้บริการร้านอาหาร โรงยิม โรงละครพิพิธภัณฑ์ ส่วนเด็กชาวอเมริกัน ติดโควิดพุ่งกว่า2.4 แสนรายในรอบสัปดาห์ สวนทางโรงเรียนเปิดสอนเต็มรูปแบบ ขณะที่สิงคโปร์กลับมาติดเชื้อสูงอีกครั้ง ด้านญี่ปุ่นบริจาควัคซีนให้ชาติในเอเชีย ไทยได้รับเพิ่มอีก3แสนโดส
เมื่อวันที่ 14กันยายน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เริ่มนโยบายบังคับฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ประชาชนที่ต้องการเข้าใช้บริการนร้านอาหาร โรงยิม โรงละคร และพิพิธภัณฑ์ ซึ่งต้องแสดงหลักฐานว่าได้รับวัคซีนแล้ว ขณะที่เจ้าของธุรกิจจะต้องตรวจสอบผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปว่าได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย1โดส
ทั้งนี้ 2ใน 3ของชาวนิวยอร์กได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1โดส ทางการจะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบว่าเจ้าของธุรกิจปฏิบัติตามหรือไม่ หากฝ่าฝืนจะต้องเสียค่าปรับเริ่มต้นตั้งแต่ 1,000-5,000 เหรียญฯ หรือราว 3,000-15,000บาท ส่วนนครซานฟรานซิสโกเริ่มบังคับฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยผู้เข้ารับบริการทุกคนต้องได้รับวัคซีนครบโดส
ด้านสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐฯ ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มเด็กในสหรัฐฯ กำลังเพิ่มเป็นทวีคูณนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นเด็ก 243,373 รายในรอบสัปดาห์แม้ตัวเลขดังกล่าวลดลงจากสัปดาห์ก่อน แต่ยังเป็นอัตราผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ที่พบผู้ติดเชื้อเป็นเด็กเพียง 71,726 ราย ทั้งนี้ สหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อที่เป็นเด็กทั้งหมดประมาณ 5.3 ล้านราย ในขณะที่โรงเรียนทั่วสหรัฐฯ เริ่มเปิดการสอนอย่างเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญหลายรายแนะนำให้ผู้ปกครองเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เพื่อปกป้องบุตรหลานอายุต่ำกว่า 12 ปีที่ยังไม่มีสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยขณะนี้สหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 42 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 680,000 ราย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากประเทศสิงคโปร์ ว่ากระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์รายงานสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมอย่างน้อย 72,294 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 3,801 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 58 ราย โดยในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 607 ราย จำนวนดังกล่าว 10 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ที่เหลือ 597 ราย ติดเชื้อจากภายในประเทศ นับเป็นสถิติรายวันสูงสุด ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว นอกจากนี้มีการตรวจพบคลัสเตอร์ใหม่ภายในสถานดูแลผู้สูงอายุ ส่งผลให้รัฐบาลสั่งปิดการเยี่ยมเยียนภายในสถานดูแลผู้สูงอายุ มีผลถึงวันที่ 11ตุลาคมนี้ เป็นอย่างน้อย
ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า นายโทชิมิตสึ โมเตกิ รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น แถลงที่กรุงโตเกียว ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดจัดส่งวัคซีนแอสตราเซเนก้า ที่ผลิตโดยบริษัทในญี่ปุ่น ให้มิตรประเทศในเอเชีย เพิ่มเติมอีก 1.3 ล้านโดส โดยรอบนี้จะส่งให้ไต้หวัน 500,000 โดส รวมยอดบริจาคให้แล้วเป็น 3.9 ล้านโดส จัดส่งให้เวียดนาม 400,000 โดส ไทย 300,000 โดส และบรูไน 100,000 โดสจนถึงขณะนี้ญี่ปุ่นบริจาควัคซีนให้ประเทศต่างๆ ไปแล้วมากกว่า 23 ล้านโดส
นอกจากนั้นญี่ปุ่นยังรับปากจะจัดส่งวัคซีนอีก 30 ล้านโดสพร้อมบริจาคเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้โครงการโคแวกซ์ ที่องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ให้การสนับสนุนอีกด้วย ขณะที่ยอดการฉีดวัคซีนของประชากรญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นเป็นราว 50%แล้ว ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ ที่ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี