ปท.ยากจนเฮ!
สหรัฐมอบวัคซีน500ล.โดส
ทั่วโลกป่วยโควิดทะลุ 230 ล้านรายตายกว่า 4.73 ล้านศพ ปธน.โจ ไบเดน สหรัฐฯ ให้คำมั่นบริจาควัคซีนต้านโควิดอีก 500 ล้านโดส ให้ประเทศยากจน ส่วนเกาหลีใต้เตือนปชช.กลับจากช่วงเทศกาลหยุดยาว ให้ตรวจหาเชื้อ สกัดโควิดระบาด ขณะที่สิงคโปร์ พบป่วยเพิ่ม 1,457 ราย สั่งห้ามเยี่ยมผู้ป่วยทุกโรงพยาบาล
เมื่อวันที่ 23 กันยายน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ว่าพบผู้ติดเชื้อรวม 230,833,856ราย มีผู้เสียชีวิตรวม 4,731,606ราย และมีผู้ที่รักษาหายแล้วรวม 207,518,558ราย
ด้านประธานาธิบดีโจไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ให้คำมั่นในระหว่างกล่าวเปิดประชุมสุดยอดผู้นำโลกว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ว่าจะบริจาควัคซีนต้านไวรัสดังกล่าวเพิ่มอีก500 ล้านโดสให้แก่ประเทศต่างๆที่กำลังต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ ทำให้สหรัฐฯ มียอดวัคซีนที่รับปากจะบริจาคแล้วกว่า 1,100 ล้านโดสโดยวัคซีนบริจาคล่าสุดนี้เป็นวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และมุ่งจะส่งมอบให้กับประเทศยากจน
แถลงการณ์ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ระบุว่า ประธานาธิบดีไบเดนท้าทายผู้นำโลกด้วยการประกาศว่า ภายในเดือนกันยายนปีหน้าประชากรร้อยละ 70 ของทุกประเทศจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน พร้อมกับเน้นย้ำว่า การบริจาควัคซีนไม่ควรมีข้อผูกมัดทางการเมือง ที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้ส่งมอบวัคซีน 160 ล้านโดสไปให้กับ 100 ประเทศทั่วโลกแล้ว
ขณะที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) อนุมัติฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เข็มที่ 3 ของไฟเซอร์/ไบออนเทคเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในกลุ่มผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อสูง และผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่ซึ่งต้องสัมผัสกับเชื้อเป็นประจำ โดยจะฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ดังกล่าว เร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ และสามารถฉีดให้ประชาชนหลายล้านคนที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม เป็นเวลาเกินกว่า 6 เดือน
แจเน็ตวูดค็อก รักษาการหัวหน้าคณะกรรมาธิการเอฟดีเอ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงคำสั่งจากเดิมที่อนุมัติฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นกรณีฉุกเฉินจะทำให้คนกลุ่มต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู พนักงานดูแลเด็ก พนักงานร้านขายของ ผู้ที่อยู่ในสถานสงเคราะห์คนไร้บ้าน หรือนักโทษ มีสิทธิได้รับวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ส่วน นพ.วิลเลียมชาฟเนอร์ผอ.ฝ่ายการแพทย์มูลนิธิโรคติดต่อแห่งชาติ (เอ็นเอฟไอดี) กล่าวว่า แถลงการณ์ของเอฟดีเอจะทำให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีสิทธิเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 มากขึ้น
ก่อนหน้านี้ไฟเซอร์ได้ขอให้เอฟดีเอพิจารณาอนุมัติฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในกลุ่มผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไป และยื่นเอกสารให้คณะที่ปรึกษาของเอฟดีเอ เมื่อสัปดาห์ก่อน ว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนนั้นลดลงเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ดี คณะที่ปรึกษามีมติคัดค้านการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้ประชาชนทุกคน แต่ระบุว่ามีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 มีประโยชน์ในกลุ่มผู้สูงวัยและผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อสูง
วันเดียวกัน นายคัง โด-แต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ กล่าวเรียกร้องให้ผู้ที่เดินทางกลับจากช่วงวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน ให้เข้าตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ทังนี้ เกาะเจจู สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมากกว่าวันละ 41,000 ราย โดยช่วง 6 วันที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนเกาะแห่งนี้แล้ว 258,000 ราย แม้ว่าเกาหลีใต้กำลังเผชิญการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 4 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจะกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้งจากเดิมที่อนุญาตให้ประชาชนพบปะกันได้ในช่วงเทศกาลชูซอก หรือวันขอบคุณพระเจ้า ที่เป็นวันหยุดยาว
อย่างไรก็ดี การอนุญาตให้พบปะกันจะทำได้ไม่เกิน 2 คน ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป โดยยังบังคับในเขตกรุงโซล และพื้นที่โดยรอบกรุงโซล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อรายวันเฉลี่ยวันละ 1,400 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากก่อนหน้านี้ที่พบผู้ติดเชื้อรายวันเฉลี่ย 1,268 ราย ซึ่งมาเป็นประวัติการณ์
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์รายงานสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมอย่างน้อย 81,356 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 68 ราย และยังมีผู้ที่รักษาตัวอยู่ในระบบอย่างน้อย 9,198 ราย โดยในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นหญิงวัย 90 ปี มีโรคประจำตัวหลายอาการ แต่ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ครบโดสแล้ว มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,457 ราย เป็นสถิติผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุด แบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 4 ราย และติดเชื้อภายในประเทศ 1,453 ราย
ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ออกแถลงการณ์อีกฉบับหนึ่ง ระงับการเยี่ยมผู้ป่วยในทุกแผนกของโรงพยาบาลทุกแห่งเป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายนนี้ เนื่องจากพบอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหมู่บุคลากรการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการในโรงพยาบาล ผู้ป่วยและผู้ที่มาเยี่ยม ซึ่งมาตรการนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องศักยภาพของโรงพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย ในขณะที่แนวโน้มการติดเชื้อในชุมชนกลับมาเพิ่มสูงอีกครั้ง
ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีอาการวิกฤติ และมารดาที่เพิ่งคลอดบุตร อาจได้รับอนุญาตให้ครอบครัวและบุคคลใกล้ชิดเข้าเยี่ยมได้ แต่ให้เป็นไปตามดุลพินิจของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง และต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี