‘ปูติน’สั่งหยุดงาน7วัน
สกัดโควิดลามรัสเซีย
ยอดป่วย-ตายทุบสถิติ
อนามัยโลกชี้ไวรัสอยู่ยาว
ประธานาธิบดีรัสเซีย สั่งหยุดงานทั่วประเทศ 7 วัน เพื่อสกัดไวรัสโควิด ในขณะที่ยอดป่วยและเสียชีวิตรายวันพุ่งสูงเป็นสถิติใหม่ส่วนนครเมลเบิร์นเตรียมออกจากมาตรการล็อกดาวน์ หลังประชาชนใช้ชีวิตภายใต้มาตรการดังกล่าวมายาวนานเกือบ 9 เดือน องค์การอนามัยโลก ชี้การแพร่ระบาดของไวรัสร้ายมีโอกาสสูงที่จะยืดเยื้อต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
เมื่อวันที่ 21ตุลาคม2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ว่าประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เปิดเผยว่า ได้รับรองข้อเสนอแนะของคณะรัฐมนตรี ในการยกระดับมาตรการทางสังคมบางกรณี เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของโรคโควิด โดยเขาได้กำหนด “สัปดาห์แห่งการหยุดงาน”ระหว่างวันที่ 30 ต.ค.จนถึงวันที่ 7 พ.ย.แต่อาจเริ่มเร็วกว่านั้นได้บางพื้นที่ หรือมีผลบังคับใช้นานกว่านั้นในบางพื้นที่ ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยการเลือกช่วงเวลานี้เนื่องจากคาบเกี่ยวกับวันหยุดยาว 4 วันของประเทศพอดี และปูตินยืนยันว่า ลูกจ้างทุกคนจะยังคงได้รับค่าตอบแทนตามปกติตลอดช่วงเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ รัสเซียเริ่มโครงการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนจากโรคโควิด-19 เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว ถือเป็นกลุ่มประเทศแรกของโลก เนื่องจากพัฒนาวัคซีนได้เอง อย่างไรก็ตาม กระบวนการหลังจากนั้นเป็นไปด้วยความล่าช้า มีอุปสรรคหลายประการทั้งในด้านการผลิตวัคซีน และการสร้างความเข้าใจกับประชาชน
ใช้ระบบไฮเทคติดตามไม่สวมแมส
ด้าน นายเซอร์เก ซอบยานิน นายกเทศมนตรีกรุงมอสโก ประกาศว่า นับตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. ปีนี้ จนถึงสิ้นเดือน ก.พ. ปีหน้า ประชาชนในพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และมีอายุเกิน 60 ปี อยู่กับบ้านให้มากที่สุด สถานประกอบการทั้งของรัฐและเอกชนให้มีพนักงานเข้ามาทำงานในสำนักงานได้สูงสุด 70% และเจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ครบ นอกจากนี้ ศูนย์การค้าทุกแห่งในเมืองหลวงต้องติดระบบเอไอ เพื่อการสแกนและจดจำใบหน้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและติดตามลงโทษ ประชาชนซึ่งไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือสวมหน้ากากอนามัยผิดวิธี ปัจจุบัน
โดยรัสเซียมีสถิติผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมในประเทศอย่างน้อย 8,094,825 คน เพิ่มขึ้น 34,073 คน เป็นสถิติรายวันสูงสุดครั้งใหม่ ส่วนสถิติผู้เสียชีวิตสะสมมีอย่างน้อย 226,353 ราย เพิ่มขึ้น 1,028 ราย เป็นสถิติใหม่เช่นกัน
เมลเบิร์นพร้อมออกจากล็อกดาวน์
ส่วนที่นครเมลเบิร์น เมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของออสเตรเลีย มีรายงานว่า ประชาชนหลายล้านคนเตรียมพร้อมที่จะออกจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่บังคับใช้มายาวนานที่สุดในโลกในวันนี้ แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันยังคงอยู่ในระดับใกล้สถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ในขณะที่ผับ ภัตตาคารและคาเฟ เตรียมสั่งซื้อของใช้ก่อนวันเปิดให้บริการอีกครั้ง
ชาวเมลเบิร์นต้องอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์มาตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นรอบที่ 6 นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิดในประเทศ โดยรอบนี้เป็นการระบาดของเชื้อไวรัสกลายพันธ์สายพันธุ์เดลตา ที่ติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ให้สัญญาว่า จะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เมื่อประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไป เข้ารับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว เกินร้อยละ 70 ในรัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก
ทั้งนี้ เมลเบิร์น อยู่ภายใต้มาตการล็อกดาวน์รวมแล้ว 262 วัน หรือ เกือบ 9 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ซึ่งถือเป็นระยะเวลารวมกันแล้วนานที่สุดในโลก แซงหน้ากรุงบัวโนสไอเรส ของอาร์เจนตินา ที่ล็อกดาวน์นาน 234 วัน ในขณะที่เตรียมจะออกจากล็อกดาวน์
สหรัฐฯเด็กป่วยโควิดทะลุ6ล้านราย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน (AAP) รายงานว่าเด็กในสหรัฐฯ มากกว่า 6 ล้านราย มีผลตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นบวก นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดใหญ่ โดยยอดผู้ป่วยใหม่วัยเด็กแตะจุดสูงสุดเมื่อเดือนกันยายนด้วยจำนวนมากกว่า 250,000 ราย
เดนนิส คันนิงแฮม กุมารแพทย์และผู้อำนวยการด้านการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อแห่งระบบสุขภาพเฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford Health System) ชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยเด็กนั้นเป็นผลมาจากการกลับมาเปิดการเรียนการสอนตามปกติในโรงเรียน และการผ่อนปรนข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัย
เตรียมฉีดเด็กอายุ5-11ปี-28ล้านคน
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า เมื่อวันที่ 20ตุลาคมที่ผ่านมา ทำเนียบขาวได้เปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกาเตรียมฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้กับเด็กอายุ 5-11ปีในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ช่วอเมริกันอีก 28 ล้านคนมีสิทธิได้เข้ารับวัคซีน ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ระบุว่า ได้เตรียมวัคซีนให้เพียงพอสำหรับจุดฉีด 25,000 แห่งทั่วประเทศแล้ว ทั้งที่คลินิก โรงพยาบาล ร้านขายยาและโรงเรียน หลังจากคาดการณ์ว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะอนุมัติใช้วัคซีนไฟเซอร์กับเด็กเร็วๆ นี้
ขณะที่ นายเจฟฟ์ ไซอ็องส์ ผู้ประสานงานเรื่องโควิด-19ของทำเนียบขาว ระบุว่า “เราคาดหวังว่าองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (เอฟดีเอ) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) จะตัดสินใจเรื่องการอนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีใน 2 สัปดาห์หน้านี้ เรารู้ว่าผู้ปกครองหลายล้านคนกำลังรอการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กกลุ่มนี้ และเอฟดีเอกับซีดีซีควรอนุมัติให้ใช้ เพราะเราพร้อมที่จะฉีดวัคซีนแล้ว” ทั้งนี้ เอฟดีเอจะประชุมบอร์ดบริหารในเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า ส่วนซีดีซีจะมีการประชุมในวันที่ 2-3พฤศจิกายน ก่อนจะมีการอนุมัติใช้ไม่นานหลังจากนั้น
อนามัยโลกคาดโควิดลากยาวถึงปีหน้า
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นพ.บรูซ เอลวาร์ด ผู้ประสานงานโครงการโคแวกซ์ขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) แถลงว่า วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิดจะยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คิด โดยมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญ คืออัตราการฉีดวัคซีนในภาพรวมที่ยังคงต่ำ ปัจจุบัน ประชากรในทวีปแอฟริกาได้รับวัคซีนเข็มแรกยังไม่ถึง 5% เปรียบเทียบกับทวีปอื่น ที่อัตราการฉีดวัคซีนเข็มแรกคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 40% พร้อมกันนี้ยังได้เรียกร้องให้กลุ่มประเทศร่ำรวยที่มีวัคซีนเพียงพอแล้ว ยกเลิกการจองคิวและการกักตุนวัคซีน เพื่อให้ผู้ผลิตวัคซีนจัดสรรวัคซีนเหล่านั้นไปให้ประเทศยากจนกว่า ซึ่งมีความต้องการอย่างแท้จริง และขอให้ปฏิบัติจริง ตามคำมั่นสัญญา ว่าจะบริจาควัคซีนส่วนเกินของตัวเองให้แก่โครงการโคแวกซ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี