สหรัฐฯสาหัส
ติดโควิดวันเดียว1.35ล้าน
‘โอมิครอน’เกือบทั้งหมด
WHOคาดยุโรปติดครึ่งทวีป
โควิดคุกคามชาวสหรัฐอย่างหนัก พบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 1.35 ล้านคน เป็นสถิติรายวันสูงที่สุดในโลก โดยเป็นสายพันธุ์โอมิครอนมากถึง 98.3% ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนบุคคลากรทางการแพทย์ขั้นวิกฤติ ‘อนามัยโลก’คาดประชากรยุโรปครึ่งหนึ่งจะติดเชื้อไวรัสโอมิครอนภายใน 6-8 สัปดาห์ เตือนอย่ามองโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เหมือนไข้หวัดใหญ่ ‘อินเดีย’ป่วยเพิ่มกว่า 1.68 แสนราย ยอดสะสมทะลุ 35.8 ล้านราย
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประจำวันที่ 12 มกราคม 2565 มีผู้ติดเชื้อรวม 313,853,439 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 5,520,595 ราย รักษาหายรวม 261,612,277 ราย
สหรัฐติดเชื้อวันเดียว1.35ล้านคน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกรุงวอชิงตัน วานนี้ชาวอเมริกันจำนวนมากเดินทางไปยังห้องสมุดในเมือง เพื่อรับแจกชุดตรวจโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลจัดให้ฟรี จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ชาวอเมริกันต้องยกเลิกแผนการเดินทาง กิจกรรมในสถานบันเทิง แผนการกลับเข้าชั้นเรียนของนักเรียนและครู รวมถึงการกลับเข้าทำงานของพนักงานในบริษัท
ทั้งนี้ สหรัฐ มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,350,000 คน เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดในโลก โดยเป็นผู้ติดเชื้อจากไวรัสโอไมครอนถึงร้อยละ 98.3 จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด
ขาดแคลนบุคลากรขั้นวิกฤต
การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกล่าสุดในสหรัฐ ซึ่งมีแรงกระตุ้นจากเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์โอมิครอน กำลังก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรขั้นวิกฤตทั่วประเทศ Ffpกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐ ระบุว่าราวร้อยละ 24 ของโรงพยาบาล 5,000 แห่งในประเทศเผชิญภาวะ “ขาดแคลนบุคลากรขั้นวิกฤต” ขณะโรงพยาบาลอื่นๆ อีกกว่า 100 แห่ง อาจจะเผชิญภาวะเดียวกันในสัปดาห์หน้า โดยนี่ถือเป็นสัดส่วนการขาดแคลนบุคลากรในโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กระทรวงฯ เริ่มเผยแพร่ข้อมูลในเดือนพฤศจิกายน 2020
ภาวะขาดแคลนบุคลากรกำลังขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบุคลากรการแพทย์แนวหน้าอาจติดเชื้อไวรัสฯ หรือถูกบังคับให้กักตัวเพราะเสี่ยงสัมผัสเชื้อไวรัสฯ โดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่ารัฐท้องถิ่นอย่างน้อย 10 แห่ง ได้ส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) เข้าช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยล้นมือแล้ว
เด็กเข้ารพ.แตะระดับสูงสุด
ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับโรงพยาบาลเป็นเวลา 30 วัน เมื่อวันจันทร์ เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถเพิ่มจำนวนบุคลากรและเตียงผู้ป่วย ขณะอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลพุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลของเด็กเพิ่มแตะระดับสูงสุด โดย ไมเคิล สมิธ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาลเด็กลอสแอนเจลิส เผยว่าอัตราผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นบวกของเด็กในโรงพยาบาลฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.5 ในเดือน ธ.ค. อยู่ที่ร้อยละ 45 ในเดือน ม.ค.
เรียกร้องปชช.รีบเข้ารับวัคซีน
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า แม้ข้อมูลขั้นต้นบ่งชี้ว่าการติดเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์โอไมครอน อาจมีอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ แต่จำนวนผู้ป่วยและผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นจะทวีความตึงเครียดให้ระบบดูแลสุขภาพในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์โอมิครอน อาจครองสัดส่วนราวร้อยละ 95 ของผู้ป่วยใหม่ในประเทศ
ด้านเหล่าผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องผู้มีคุณสมบัติที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนอีกอย่างน้อย 65.5 ล้านคน และผู้มีคุณสมบัติฉีดวัคซีนโดสกระตุ้น เข้ารับวัคซีนโดยเร็วที่สุด
คาดโอมิครอนลามหนักในยุโรป
นพ.ฮันส์ คลูเกอ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำภูมิภาคยุโรป แถลงข่าวในวันอังคาร ว่า คาดว่าประชากรยุโรปกว่าครึ่งหนึ่งจะติดเชื้อไวรัสโอมิครอนภายใน 6-8 สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2022 ชาวยุโรปติดเชื้อโควิดรายใหม่แล้วมากกว่า 7 ล้านราย เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วง 2 สัปดาห์ ซึ่งตามตัวเลขนี้ Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME) สถาบันวิจัยด้านการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตันในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า กว่าร้อยละ 50 ของประชากรในยุโรป จะติดเชื้อโอมิครอนในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องในระดับปัจจุบัน จะช่วยคุ้มกันและลดอาการป่วยรุนแรง, การเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิต และยังเรียกร้องให้หลายประเทศเปิดโรงเรียนด้วย โดยระบุว่า โรงเรียนควรจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่ต้องปิด และเป็นแห่งแรกที่ต้องเปิด
เตือนยังไม่ถึงจุดเป็นโรคประจำถิ่น
ผู้อำนวยการฝ่ายยุโรปขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า 50 จาก 53 ประเทศในยุโรปและในเอเชียกลาง มีผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนในระดับสูง แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่บ่งชี้ว่า โควิดโอมิครอนจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่าช่วงปอด ทำให้มีอาการไม่รุนแรงเท่ากับโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ระบาดหนักก่อนหน้านี้ แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียก่อน
ส่วนประเด็นที่ทางการสเปน ผลักดันให้เปลี่ยนแปลงการติดตามผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เหมือนกับไข้หวัด เพราะความรุนแรงของโควิดโอมิครอนได้ลดลงไป ซึ่งนั่นหมายถึงสเปนจะรับมือกับโควิดโอมิครอนเหมือนกับโรคประจำถิ่นแทนที่จะเป็นการรับมือภาวะการระบาดใหญ่ในวงกว้างเหมือนแต่ก่อนนั้น แคเธอรีน สมอลวูด เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายฉุกเฉินประจำภูมิภาคยุโรปขององค์การอนามัยโลก ชี้ว่า เรายังมีสถานการณ์การระบาดที่ไม่แน่นอนอยู่มาก อีกทั้งโควิดโอมิครอนยังคงกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดที่จะบอกว่าโควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่นได้
อินเดียป่วยโควิดอีก1.68แสนราย
กระทรวงสาธารณสุขกลางอินเดีย เปิดเผยยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศรวมอยู่ที่ 35,875,790 ราย ในวันอังคาร หลังตรวจพบผู้ป่วยเพิ่ม 168,063 รายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยอินเดียตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายวันเพิ่มมากกว่า 150,000 ราย ติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว และยังเป็นวันแรกที่ยอดผู้ป่วยใหม่ต่ำกว่าวันก่อนหน้าในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาขณะเดียวกันยังตรวจพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 277 ราย นับตั้งแต่เช้าวันจันทร์ (10 ม.ค.) ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยเสียชีวิตรวมอยู่ที่ 484,213 ราย
อินเดียยังคงมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รักษาตัวรวมอยู่ที่ 821,446 ราย แม้มีผู้ป่วยรักษาตัวเพิ่มขึ้น 97,827 รายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยอินเดียมีผู้ป่วยรักษาตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 14 แล้ว ส่วนยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน รวมอยู่ที่ 4,461 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี