โควิดคุกคามสหรัฐฯอย่างหนัก ยอดผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์“ปธน.ไบเดน” เตรียมส่งแพทย์ทหารเพิ่มไปยังโรงพยาบาลในจุดที่ระบาดรุนแรงพร้อมสั่งซื้อชุดตรวจ ATK เพิ่มอีก 500 ล้านชุด ด้านอิตาลีติดโควิดพุ่ง วันเดียวกว่า 1.8 แสนราย ยอดรวมทะลุ 8 ล้านรายเยอรมนี เผยโอมิครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในประเทศ ขณะที่เกาหลีใต้ขยายมาตรการคุมโควิดอีก 3 สัปดาห์ หวังสกัดโอมิครอนก่อนตรุษจีน
สถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุดของ ไวรัสโควิด-19 จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประจำวันที่ 14 มกราคม 2565 มีดังนี้ ผู้ติดเชื้อรวม 320,529,891 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 5,538,164 ราย รักษาหายรวม 263,963,104 ราย
สหรัฐเตรียมส่งแพทย์ทหารเพิ่ม
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเปิดเผยว่า จะส่งบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพเพิ่มเติมไปยังโรงพยาบาล 6 แห่งในสหรัฐ และแจกจ่ายหน้ากากอนามัยฟรี รวมถึงทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ฟรีเพิ่ม เพื่อช่วยรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดได้เร็ว โดยจะเริ่มส่งบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพ 1,000 นายในสัปดาห์หน้า เนื่องจากจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคโควิด-19 สูงเป็นประวัติการณ์ และโรงพยาบาลเผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากร
ปธน.ไบเดน กล่าวว่า ตนรู้ว่าเราทุกคนผิดหวังเมื่อเราเข้าสู่ปีใหม่นี้ พร้อมย้ำว่าโควิด-19 ยังคงเป็น “โรคระบาดของผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน” และระบุว่าการส่งบุคลากรจากกองทัพจะช่วยเหลือโรงพยาบาลที่เผชิญภาระงานหนักทั่วประเทศ
ทำเนียบขาว ระบุว่า ทีมแพทย์ทหาร พยาบาล และบุคลากรอื่นๆ จะมุ่งหน้าไปยังมิชิแกน นิวเจอร์ซีย์ นิวเม็กซิโก นิวยอร์ก โอไฮโอ และโรดไอแลนด์ เพื่อช่วยเหลือห้องฉุกเฉินที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ และช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจากการรักษาที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19
ผู้ป่วยในรพ.เกินครึ่งยังไม่ฉีดวัคซีน
เจ้าหน้าที่ของเฮนรี ฟอร์ด เปิดเผยว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลกว่า 65% เป็นผู้ยังไม่ได้รับวัคซีน และกว่า 90% ยังไม่ได้รับเข็มบูสเตอร์
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ท่าทีเชิงรุกของทำเนียบขาวมีขึ้นหลังจากที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำเนียบขาวเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่พึ่งพาการใช้วัคซีนเพียงอย่างเดียวมากเกินไปเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเคลื่อนไหวด้านการต่อต้านวัคซีนเพื่อหวังผลทางการเมืองจากเจ้าหน้าที่พรรครีพับลิกันบางราย ทั้งนี้ ชาวอเมริกันประมาณ 62% ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
ซื้อชุดตรวจATKเพิ่มอีก500ล้านชุด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้สั่งการให้รัฐบาลจัดซื้อชุดตรวจแอนติเจน (Antigen Test Kit) หรือ ATK เพิ่มเติมอีก 500 ล้านชุดเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการจัดส่งให้แก่ประชาชนเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน การซื้อชุดตรวจ ATK จำนวน 500 ล้านชุดดังกล่าว เป็นคำสั่งซื้อเพิ่มเติมจากจำนวน 500 ล้านชุดก่อนหน้านี้ที่ปธน.ไบเดนสัญญาที่จะแจกจ่ายแก่ประชาชนในเดือนนี้
สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อกว่า 64 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 866,000 ราย
อิตาลีป่วยวันเดียวกว่า1.8แสนราย
กระทรวงสาธารณสุขอิตาลีเปิดเผยในวันนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่อยู่ที่ระดับ 184,615 ราย แต่ต่ำกว่าระดับ 196,224 รายที่มีการรายงานวานนี้ นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิตรายใหม่มีจำนวน 316 ราย เพิ่มขึ้นจากที่รายงานวานนี้ที่ระดับ 313 ราย ขณะนี้ อิตาลีมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมกว่า 8.15 ล้านราย และเสียชีวิตกว่า 140,000 ราย
โอมิครอนเป็นสายพันธุ์หลักในเยอรมนี
สถาบันโรเบิร์ต คอช (RKI)ของเยอรมนี เผยว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในเยอรมนี ซึ่งคิดเป็น 73.3% ของยอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศ เมื่อเทียบกับ 44.3% เมื่อ 7 วันก่อนหน้า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสเดลตามีเพียง 25.9% จากยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมด
สถาบัน RKI ระบุว่า “ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เราคาดว่ายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก” พร้อมเสริมว่า “งานวิจัยในช่วงแรกชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ต่ำกว่าในกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนครบโดส เมื่อเทียบกับการติดเชื้อจากไวรัสเดลตา” โดยมีชาวเยอรมนีประมาณ 72% ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส และ 44% ได้รับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์
ทั้งนี้ เยอรมนีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่กว่า 81,000 ราย ในวันพฤหัสบดี (13 ม.ค.) ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่การแพร่ระบาด ขณะที่ผู้รับมือวิกฤตไวรัสโควิดของรัฐบาลกล่าวเตือนถึงปัญหาคอขวดที่อาจเกิดขึ้นในการตรวจหาเชื้อ
เกาหลีใต้ยืดมาตรการเข้มก่อนตรุษจีน
รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศขยายมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ออกไปอีก 3 สัปดาห์ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งสามารถแพร่ระบาดได้ในระดับสูง โดยเฉพาะก่อนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ได้กลับมาบังคับใช้มาตรการดังกล่าวอีกครั้ง หลังยกเลิกเพื่อให้สอดรับกับแผน “อยู่ร่วมกับโควิด-19” ได้เพียง 6 สัปดาห์ เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้ป่วยหนักพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์และสร้างความเสี่ยงต่อระบบการแพทย์ของประเทศ
การขยายมาตรการสกัดโควิด-19 มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 6 ก.พ. รวมถึงการสั่งให้ร้านอาหาร, คาเฟ่ และบาร์ปิดให้บริการในเวลา 21.00 น. แต่การจำกัดจำนวนการรวมกลุ่มจะเพิ่มขึ้นจาก 4 คน เป็น 6 คนสำหรับบุคคลที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว
โอมิครอนจ่อเป็นสายพันธุ์หลัก
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกาหลีใต้เตือนว่า เชื้อไวรัสโอมิครอนจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของประเทศภายในเวลา 2 สัปดาห์ หากไม่มีการบังคับใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งแตะระดับ 20,000 คนในเดือนก.พ. และ 30,000 คนในเดือนมี.ค. สำหรับวันหยุดเทศกาลตรุษจีนนั้นจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 29 ม.ค. และโดยปกติแล้วชาวเกาหลีหลายล้านคนจะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรวมญาติ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงที่โควิด-19 จะแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น
เกาหลีใต้ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 4,000 รายติดต่อกันเป็นวันที่ 3 และยอดผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศแตะระดับสูงสุดตลอดกาลในวันนี้ โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลี (KDCA) ได้รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,542 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ติดเชื้อในชุมชน 4,133 คน ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมปรับตัวขึ้นสู่ 683,566 คน
ขยายมาตรการคุมโควิดกรุงมะนิลา
นายคาร์โล โนกราเลส รักษาการโฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ระบุว่า คณะทำงานด้านโควิด-19 จะขยายเวลามาตรการควบคุมโรคโควิดในเขตกรุงมะนิลาและจังหวัดอื่นๆ ไปจนถึงสิ้นเดือนม.ค.นี้
ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญปัญหายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งสูงสุดเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจและงานบริการภาครัฐต้องหยุดชะงัก
การตัดสินใจขยายมาตรการคุมโควิด-19 มีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศห้ามประชาชนที่ไม่ฉีดวัคซีนเข้าใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะในกรุงมะลิลา ภายหลังจากประธานาธิบดีโรดริโก ดูเดอร์เต มีคำสั่งให้ใช้มาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมการเดินทางเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
กระทรวงคมนาคมฟิลิปปินส์ออกแถลงการณ์วานนี้ว่า ผู้ที่จะเข้าใช้บริการจะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนก่อนที่จะขึ้นรถประจำทาง, รถไฟ และรถยนต์ประเภทอื่น ๆ ในระบบขนส่งสาธารณะในกรุงมะนิลา โดยนโยบาย “ไม่ฉีดวัคซีน ไม่มีสิทธิ์ขึ้นรถ” (No Vaccination, No Ride) จะบังคับใช้ในกรุงมะนิลาภายใต้มาตรการเฝ้าระวังสูงระดับที่ 3 จากทั้งหมด 5 ระดับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี