28 มี.ค. 2565 ในขณะที่โลกกำลังจับตาสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งรัสเซียอ้างว่าเหตุที่ต้องยกทัพบุกยูเครนเพราะไม่ต้องการให้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) องค์กรด้านความมั่นคงทางทหารของโลกตะวันตแผ่อิทธิพลประชิดพรมแดนรัสเซียจากกรณีที่ยูเครนจะเข้าร่วมกับนาโต จนทำให้โลกตะวันตกลงดาบคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรัสเซียอย่างรุนแรง ล่าสุดความตึงเครียดในทำนองเดียวกันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อออสเตรเลียไม่พอใจที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างหมู่เกาะโซโลมอน มีข้อตกลงทางทหารร่วมกับจีน ซึ่งอาจเอื้อให้จีนตั้งฐานทัพได้
สำนักข่าว ABC ของออสเตรเลีย เสนอข่าว Solomon Islands politician 'extremely disappointed' Australia ignored warnings of China military deal เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2565 อ้างคำกล่าวของ แมทธิว เวล (Matthew Wale) หัวหน้าพรรคเดโมเครติก ซึ่งปัจจุบันเป็นฝ่ายค้านในรัฐสภาหมู่เกาะโซโลมอน เปิดเผยว่า ตนเคยเตือนออสเตรเลียตั้งแต่เดือน ส.ค. 2564 แล้วว่า จีนกำลังเจรจาข้อตกลงทางการทหารที่อาจทำให้สามารถตั้งฐานทัพในหมู่เกาะโซโลมอนได้ แต่ในเวลานั้นทางการออสเตรเลียไม่ได้สนใจเรื่องนี้
ในเดิอน พ.ย. 2564 ออสเตรเลียส่งทหารและตำรวจไปช่วยรัฐบาลหมู่เกาะโซโลมอนปราบปรามการก่อจลาจล แต่ในเวลาต่อมา ออสเตรเลียก็ต้องตกใจเมื่อได้ทราบว่ารัฐบาลหมู่เกาะโซโลมอนกำลังมีข้อตกลงกับจีน ซึ่ง เวล เรียกร้องให้ออสเตรเลีย มีท่าทีเสริมความแข็งแกร่งให้กับข้อตกลงทวิภาคี ระหว่างหมู่เกาะโซโลมอนกับออสเตรเลีย และหมู่เกาะโซโลมอนกับนิวซีแลนด์ เพื่อให้ข้อตกลงระหว่างหมู่เกาะโซโลมอนกับจีนถูกตีตกไป
ขณะที่โฆษกรัฐบาลกลางออสเตรเลีย กล่าวว่า ทางการออสเตรเลียมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้-เสีย ที่หมู่เกาะโซโลมอนเป็นประจำ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ และยังคงมีส่วนร่วมอย่างเปิดเผยและโปร่งใสในทุกระดับกับรัฐบาลหมู่เกาะโซโลมอน ในข้อตกลงด้านความมั่นคง ด้าน วอร์เรน เอนท์ช (Warren Entsch) สมาชิกรัฐสภาจากเขต Leichhardt รัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคเสรีนิยมแห่งชาติแห่งควีนส์แลนด์ กล่าวว่า แม้จะเห็นท่าทีของจีน แต่ก็มองโลกในแง่ดีว่าหมู่เกาะโซโลมอนจะไม่ร่วมลงนามข้อตกลงดังกล่าว
รายงานข่าวยังอ้างความเห็นของ ศ.คลินตัน เฟอร์นันเดส (Prof.Clinton Fernandes) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ และยังเคยเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองในกองทัพออสเตรเลีย ที่ระบุว่า นอกจากหมู่เกาะโซโลมอนแล้ว จีนกำลังเจรจาข้อตกลงด้านความมั่นคงกับปาปัวนิวกินี อีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านของออสเตรเลียด้วย
เฟอร์นันเดส อ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2563 ที่จีนบรรลุข้อตกลงกับปาปัวนิวกินี ในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมประมงเอนกประสงค์ มูลค่ารวม 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.6 พันล้านบาท บนเกาะดารู และเชื่อว่า หลังจากนี้พื้นที่เกาะดารู ซึ่งอยู่นอกชายฝั่งปาปัวนิวกินี ต่อไปจะมีชาวจีนมาอาศัยอยู่ และหลังจากนั้นพรรคการเมืองที่สนับสนุนจีนก็จะชนะการเลือกตั้งระดับชาติ ทั้งนี้ หมู่เกาะโซโลมอนกับปาปัวนิวกินี มีความเหมือนกันอย่างหนึ่งคือความช่วยเหลือจากออสเตรเลีย ไม่มีผลในการตอบโต้จีน
“เรายังเข้าไปยุ่งกับการเมืองของพวกเขา เมื่อหมู่เกาะโซโลมอนต้องการสร้างสายเคเบิลเขื่อมสัญญาณอินเตอร์เน็ตใต้ทะเลระหว่างพวกเขากับซิดนีย์ เรายืนยันว่าบริษัทใดจะได้รับสัญญานั้น นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของหมู่เกาะโซโลมอนไม่ลืมเหตุการณ์นั้น และพลังแบบเดียวกันกำลังมีบทบาทในปาปัวนิวกินี เมื่องบประมาณความช่วยเหลือส่วนใหญ่กลับมาเป็นเงินเดือนให้ที่ปรึกษาต่างประเทศ” เฟอร์นันเดส กล่าว
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2565 สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เสนอข่าว Australia alarm over China security deal with Solomon Islands อ้างคำกล่าวของ ปีเตอร์ ดัตตัน (Peter Dutton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย ที่ระบุว่า ออสเตรเลียกังวลกับข่าวที่หมู่เกาะโซโลมอนมีข้อตกลงร่วมกับจีน ที่เอื้อให้จีนสามารถตั้งฐานทัพที่หมู่เกาะโซโลมอนได้ และย้ำว่าไม่ต้องการแรงกดดันและการบีบบังคับที่เห็นได้จากจีนให้แผ่ขยายในภูมิภาคนี้
ความตึงเครียดระหว่างออสเตรเลียกับประเทศเพื่อนบ้านดังกล่าว เริ่มต้นขึ้นหลังเกิดกรณีเอกสารรั่วไหลและถูกส่งต่อบนโลกออนไลน์ มีเนื้อหาเป็นข้อตกลงระหว่างจีนและหมู่เกาะโซโลมอน ที่ระบุว่า จีนสามารถส่งทหารและตำรวจไปประจำการที่หมู่เกาะโซโลมอนได้หากรัฐบาลหมู่เกาะโซโลมอนร้องขอ หรือเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองจีน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ออสเตรเลียมีบทบาทด้านการรักษาความสงบที่หมู่เกาะโซโลมอน ช่วงปี 2546-2560
สถานการณ์ในพื้นที่เริ่มส่อเค้าความตึงเครียดในปี 2562 เมื่อรัฐบาลกลางหมู่เกาะโซโลมอน แสดงท่าทีสนับสนุนจีนแผ่นดินใหญ่แทนไต้หวัน ทำให้เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลท้องถิ่นบนเกาะมาไลตา ต่อมาในช่วงเดือน พ.ย. 2564 ยังมีเหตุจลาจลครั้งร้ายแรงเกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 3 วัน ซึ่งออสเตรเลียได้ส่งทหารและตำรวจเข้าไปช่วควบคุมสถานการณ์ตามที่รัฐบาลหมู่เกาะโซโลมอนร้องขอ โดยปัจจุบันยังมีตำรวจออสเตรเลีย 50 นายอยู่ที่หมู่เกาะโซโลมอน และจะประจำการไปจนถึงปี 2566
แม้กระทั่งนิวซีแลนด์ก็ยังไม่สบายใจเมื่อได้เห็นร่างข้อตกลงของจีนกับประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก โดย แอนนา พาวเลส (Anna Powles) ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงแห่งมหาวิทยาลัยแมสซีย์ เมืองปาล์มสตันนอร์ท ทางภาคเหนือของนิวซีแลนด์ กล่าวว่า ข้อตกลงนี้มีขอบเขตกว้าง มีบทบัญญัติคลุมเครือและอาจมีความทะเยอทะยานทางภูมิรัฐศาสตร์หลายประการ อีกทั้งชี้ให้เห็นว่า จีนกำลังพยายามเสริมความเข้มแข็งด้านระบบโลจิสติกส์และทรัพย์สินเชิงวัตถุที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะโซโลมอนเพื่อสนับสนุนการจอดเทียบท่าของเรือ
เควิน รัตต์ (Kevin Rudd) อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า การหารือเกี่ยวกับสนธิสัญญาความมั่นคงระหว่างหมู่เกาะโซโลมอนและจีนเป็นการพัฒนาด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ได้เห็นในทศวรรษที่ผ่านมา และเป็นเรื่องที่เป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติของออสเตรเลีย เพราะหากสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่หมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งอยู่ใกลกับชายฝั่งออสเตรเลีย นี่คือความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมในเชิงกลยุทธ์
รายงานของอัลจาซีรา ยังกล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่เหตุจลาจลที่หมู่เกาะโซโลมอนในปี 2564 มีความเคลื่อนไหวจาก 2 ชาติมหาอำนาจ โดยสหรัฐอเมริกา ประกาศเปิดสถานทูตในหมู่เกาะโซโลมอนอีกครั้ง หลังจากที่ปิดทำการไปตั้งแต่ปี 2536 ขณะที่จีนมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมตำรวจในท้องถิ่น บริจาคอุปกรณ์ที่ใช้การปราบจลาจล และในวันที่ 24 มี.ค. 2565 มีการลงนามบันทึกความตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่างองค์กรตำรวจหมู่เกาะโซโลมอนกับจีน
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.abc.net.au/news/2022-03-27/solomon-islands-politician-extremely-disappointed-australia/100943418
https://www.aljazeera.com/news/2022/3/25/australia-alarm-over-china-security-deal-with-solomon-islands
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี