เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในขณะที่ผู้นำประเทศต่างๆ จากประเทศอาเซียน จะเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ที่มีขึ้นในวันที่ 12 - 13 พ.ค.2565 นี้ ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา แอมเนสตี้ฯ ขอเรียกร้องให้บรรดาผู้นำให้ความสำคัญกับความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเมียนมา
เอ็มเมอร์ลีน จิล รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า ฉันทามติ 5 ข้อ ถือเป็นความล้มเหลวและและไม่สามารถหยุดกองทัพกองทัพเมียนมาในการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มากขึ้นต่อประชาชนชาวเมียนมา ภายหลังการทำรัฐประหารปี 2564 ซึ่งอาเซียนต้องยอมรับว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมาได้ขยายตัวจนเป็นข้อกังวลระดับภูมิภาคไปแล้ว
“การใช้ความรุนแรงของกองทัพเมียนมาต่อประชาชนของตนเอง ไม่เพียงทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย หากยังทำให้เศรษฐกิจของประเทศทรุดตัวลง ในปัจจุบัน ประชาชนหลายพันคนพากันหลบหนี หรือพยายามหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประเทศไทยและมาเลเซีย ไม่เพียงเพื่อแสวงหาความปลอดภัย หากยังต้องการหางานทำและหาเลี้ยงครอบครัว” เอ็มเมอร์ลีน กล่าว
รอง ผอ.สำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ฯ กล่าวต่อไปว่า รัฐภาคีอาเซียนควรจัดทำแผนการที่มีรายละเอียดมากกว่านี้ เพื่อตรวจสอบความรับผิดของกองทัพเมียนมาต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และรับมือกับความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งการไม่บังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยที่หลบหนีมาจากความรุนแรง การสนับสนุนให้เข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่ง และเพิ่มเสียงสนับสนุนให้มีข้อตกลงห้ามซื้อขายหรือส่งอาวุธให้เมียนมา รัฐภาคีอาเซียนยังควรดำเนินการระดับทวิภาคีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ กรณีที่ไม่สามารถบรรลุฉันทามติในระดับภูมิภาคได้
และในฐานะผู้จัดการประชุมสุดยอด รัฐบาลไบเดนควรเน้นการอภิปรายเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดอย่างต่อเนื่องในเมียนมา และในภูมิภาคโดยรวม เพราะในระดับภูมิภาค ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นแนวโน้มของการปราบปรามที่เพิ่มมากขึ้น การจำกัดพื้นที่ในการทำงานหรือเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม และการไม่อดทนดอกลั้นต่อความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นแนวโน้มตรงข้ามกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง ดังที่รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงพันธกิจจะสนับสนุน และจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากยังเพิกเฉยต่อสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ มิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพของเมียนมา ซึ่งได้ยึดอำนาจในการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ ดังกล่าว ราวกับว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะทำให้ประเทศในภูมิภาคแห่งนี้จะตีตัวออกห่างจากนายพลอาวุโสคนนี้ ซึ่งไม่ได้ดำเนินการตาม ฉันทามติ 5 ข้อ ที่เขาเห็นชอบเมื่อเดือน เม.ย.2564 แต่อย่างใด
ฉันทามติฉบับนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วง สนับสนุนการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และกระตุ้นให้เกิดการเจรจา นับแต่มีการให้ความเห็นชอบ สถานการณ์ในเมียนมากลับรุนแรงขึ้นจนยากแก่การควบคุม นับแต่การทำรัฐประหารครั้งนี้ กองทัพเมียนมาได้สังหารประชาชนกว่า 1,800 คน ตามข้อมูลของกลุ่มผู้สังเกตการณ์ และยังมีการคุมขังประชาชนกว่า 10,000 คน
กลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้านยังเพิ่มปฏิบัติการ เพื่อตอบโต้การปราบปรามถึงขั้นเสียชีวิตในระหว่างการชุมนุมประท้วงโดยสงบ ซึ่งประชาชนยังคงประท้วงอยู่แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าเมื่อตอนภายหลังการทำรัฐประหารมาก และแม้จะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง ขณะที่ ออง ซาน ซูจี ผู้นำพลเรือนของเมียนมาถูกปลดจากตำแหน่ง ในระหว่างการทำรัฐประหารช่วงเช้ามืด ที่ผ่านมาเธอได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่ถูกกุขึ้นมา และศาลได้ตัดสินให้มีความผิด เช่นเดียวกับพันธมิตรอีกหลายคนของเธอ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี