ดราม่าเมืองหลวงเนปาล! เทศบาลกวาดล้างแผงลอย ปชช.ชี้ไร้มนุษยธรรม-ผู้เชี่ยวชาญแนะใช้วิธีกำกับดูแล
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 เว็บไซต์ นสพ.The Kathmandu Post ของเนปาล เสนอรายงานพิเศษ Street vending needs regulations, not ad hoc crackdown, experts say เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2565 ตามเวลาท้องถิ่น ว่าด้วยเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจในกรุงกาฐมาณฑุ เข้ายึดรถเข็นของสามี-ภรรยาคู่หนึ่งที่ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยในย่านบาลูวาตาร์ (Baluwatar) เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ซึ่งมีผู้ถ่ายคลิปวีดีโอเหตุการณ์ที่สามี-ภรรยาคู่นี้ขณะกำลังมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ แล้วนำไปเผยแพร่ผ่านทวิตเตอร์ โดยเมื่อคลิปถูกแชร์ออกไป ตำรวจและผู้บริหารของเมืองก็ถูก “ทัวร์ลง” อย่างหนัก
รายงานข่าวระบุว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดย ธนาปัติ ทรัพย์โกฐ (Dhanapati Sapkota) ผู้บัญชาการตำรวจ เปิดเผยว่า แต่ละวันเจ้าหน้าที่สามารถยึดรถเข็นได้เฉลี่ย 20 คัน ส่วนกรณีสามี-ภรรยาที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งคู่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ รายงานจากทางตำรวจ ระบุว่า ทั้งคู่ถูกดำเนินคดีไปแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นนำมาสู่คำถามเกี่ยวกับหลักการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ เพราะแม้กฎหมายว่าด้วยอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี 2560 มาตรา 11 กำหนดให้ตำรวจท้องที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายของเมือง รวมถึงการเฝ้าระวังและบริหารจัดการตลาดท้องถิ่นและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวกับที่จอดรถ ตลอดจนดูแลพื้นที่และทรัพย์สินสาธารณะ แต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่มีขอบเขตการใช้กำลังอย่างไรในการควบคุมตัวและยึดทรัพย์สินของผู้ขายสินค้าริมถนน
บาซันตา อาจารยา (Basanta Acharya) เจ้าหน้าที่สารสนเทศของเมือง กล่าวว่า การประชุมเทศบาลครั้งที่ 13 มีมติห้ามประกอบธุรกิจบนทางเท้าเด็ดขาด ตนจึงคาดว่าตำรวจพยายามดำเนินการตามนโยบายนี้ ขณะเดียวกัน มีประเด็นที่คู่สามี-ภรรยา ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย อ้างว่าเจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์เป็นเงิน 5,000 รูปีเนปาล หรือประมาณ 1,400 บาท แลกกับการได้ขายสินค้าต่อไป เรื่องนี้จะมีการตั้งกรรมการสอบสวนเช่นกัน
เหตุการณ์สามี-ภรรยาผู้ค้าแผงลอยถูกตำรวจใช้กำลังยึดรถเข็น กลายเป็นมรสุมทางการเมืองลูกหนึ่งที่พัดใส่ บาเลนทรา ชาห์ (Balendra Shah) ศิลปินแร็ปและวิศวกรโครงสร้าง ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งนายกเทศมนตรีกรุงกาฐมาณฑุ และเข้าดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน เพราะก่อนหน้านี้บทเพลงของ ชาห์ มักมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การเมือง และสะท้อนปัญหาความทุกข์ยากของคนจน แต่วันนี้กลับเพิกเฉยต่อคนจน
การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองหลวงของเนปาลครั้งล่าสุด ชาห์ เอาชนะ บิดยา ซุนดาร์ ชัคยา (Bidya Sundar Shakya) นายกเทศมนตรีคนก่อนหน้า และถูกคาดหวังจากชาวเมืองว่า เขาจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าผู้นำคนก่อน แต่ก็ต้องมาตามแก้ปัญหาที่ตกค้างมาจากในอดีต เช่น การบริหารจัดการขยะ ความพยายามของนายกเทศมนตรีคนใหม่กับการแก้ปัญหาที่สะสมมายาวนานไม่อาจทำได้ในชั่วข้ามคืน ล่าสุดยังต้องเผชิญกับคำถามเรื่องการกวาดล้างแผงลอยอีก
ทั้งนี้ ปัญหาการกระทบกระทั่งระหว่างหาบเร่แผงลอยกับทางการ เป็นสถานการณ์ที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่าทศวรรษ คำมั่นสัญญาต่างๆ จากทางการ ที่จะมีนโยบายบริหารจัดการผู้ขายสินค้าริมทางในเมือง ไม่เคยถูกดำเนินการ ในทางปฏิบัติ ซึ่งปัจจุบัน หาบเร่แผงลอยยังคงเลือกค้าขายในทุกที่ที่เห็นว่าตนเองค้าขายได้สะดวก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้คนเดินผ่านไป-มาจำนวนมาก ชัคยา อดีตนายกเทศมนตรีกรุงกาฐมาณฑุ ที่เข้ารับตำแหน่งในปี 2560 ให้คำมั่นว่าจะจัดหาพื้นที่ขายสินค้าที่ทำเลดีกว่าการขายของบนทางเท้า แต่ในทางปฏิบัติดำเนินการได้จริงเพียงเล็กน้อย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากชาวเน็ตเนปาลจะวิพากษ์วิจารณ์ทางการของกรุงกาฐมาณฑุ ว่ามีนโยบายที่ไร้มนุษยธรรมแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเมือง ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกัน เช่น คิชอร์ ธาปา (Kishore Thapa) นักผังเมืองและอดีตเลขาธิการรัฐบาล ให้ความเห็นว่า หลายพันคนหาเลี้ยงชีพด้วยการขายของตามท้องถนน ฝ่ายบริหารของเมืองควรใช้แนวทางที่ยั่งยืนกว่านี้ ด้วยการหารือเพื่อหาแนวปฏิบัติด้านการบริหารจัดการผู้ค้าริมทาง และควรมีกฎระเบียบเป็นการเฉพาะเพื่อกำกับดูแลคนกลุ่มนี้
ธาปา ย้ำว่า แม้นายกเทศมนตรีจะมีหน้าที่อย่างแรกคือรักษากฎหมายและดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมือง แต่ก็ควรคำนึงถึงการบริหารจัดการการจำหน่ายสินค้าริมถนนที่ยั่งยืน พร้อมกับยกตัวอย่างเมืองที่พัฒนาแล้วในโลก ซึ่งผู้ค้าสามารถประกอบอาชีพได้ตราบเท่าที่ไม่กีดขวางผู้อื่น ทั้งนี้ เมืองสามารถออกข้อกำหนดว่าด้วยเวลาและสถานที่ที่อนุญาตให้ทำการค้าได้ เช่น จัดพื้นที่เป็นตลาดในวันหยุดในพื้นที่และเวลาเป็นการเฉพาะ หากมาตรการถูกใช้อย่างต่อเนื่องไปสัก 1 ปี ก็จะกลายเป็นนิสัยใหม่ของผู้คน
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ในเนปาล ผู้คนนับหมื่นที่เป็นแรงงานนอกระบบเผชิญกับความท้าทายและยากลำบาก เพราะภาครัฐไม่มีการกำกับดูแลการขายสินค้าริมถนน อีกทั้งไม่มีระบบดูแลคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะในเขตเมือง ซึ่งรายงานวิเคราะห์เศรษฐกิจนอกระบบที่เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเนปาล เมื่อปี 2564 ระบุว่า เกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจในเนปาลจัดเป็นเศรษฐกิจนอกระบบเนื่องจากไมได้จดทะเบียน
และจากธุรกิจ 923,027 แห่งทั่วประเทศ พบ 34,101 แห่ง หรือร้อยละ 3.7 เป็นธุรกิจริมถนน ขณะที่จากประชากร 3.23 คนที่มีงานทำในประเทศ พบ 45,330 คน อยู่ในธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งการขายของริมถนนเป็นช่องทางการหาเลี้ยงชีพของผู้คนนับหมื่นทั่วประเทศ แต่คนเหล่านี้นอกจากจะมีชีวิตยากลำบากแล้ว ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดและการปราบปรามจากทางการเมือง ซึ่งมองผู้ค้าก่อความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้ทางเท้า รวมถึงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยังถูกทางการกดดันไม่ให้ทำการค้า เพราะมองว่าผู้ค้าเป็นแหล่งแพร่เชื้อ
ขอบคุณเรื่องจาก ... Street vending needs regulations, not ad hoc crackdown, experts say
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี