WHOจับตา!
โอมิครอน‘BA.5.2.1.7’ระบาดพุ่ง
ไทยติดโควิดใหม่1,749/ตาย28ศพ
ไทยป่วยโควิดรายวันลดลงอยู่ที่ 1,749 ราย ตายเพิ่ม 28 ศพ เป็นกลุ่ม 608 ทั้งหมดผู้ติดเชื้อรักษาตัวในรพ.มากกว่า 1.8 หมื่นราย “อนุทิน” เผยเวที APEC Health Week ปท.สมาชิกแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านสุขภาพโดยเฉพาะโควิด เน้นแบ่งปันวัคซีน ปลื้มนานาชาติชื่นชมไทย ให้ความร่วมมือใส่หน้ากากอนามัยต่อเนื่องยันไม่มีกฎหมายบังคับ แต่ปชช.ให้ความร่วมมือ ย้ำใบรับรองวัคซีนในแอพฯหมอพร้อม พกไปตปท.ได้ ส่วนต่างชาติเข้าไทยยังต้องแสดงใบรับรองวัคซีน
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด -19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดประจำวันว่า ไทยพบผู้ป่วยรายใหม่รักษาตัวในโรงพยาบาล (รพ.) 1,749 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 1,749 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อในประเทศ 1,734 ราย เกิดจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 1,734 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ 15 ราย และไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ รวมผู้ป่วยสะสม 4,643,012 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565
รักษาหายป่วยกลับบ้าน 1,601 ราย หายป่วยสะสม 2,424,170 รายนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 อยู่ระหว่างรักษาตัว 18,182 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 766 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 377 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 28 ราย เป็นกลุ่ม 608 ทั้งหมดและยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 23 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 32,166 ราย
ความคืบหน้าการกระจายวัคซีนในประเทศ พบผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เพิ่มเติม 4,496 ราย ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 7,016 ราย และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 20,079 ราย รวมฉีดวัคซีนสะสม 142,577,801 โดส แบ่งเป็น ผู้ได้รับเข็มที่ 1 จำนวน 57,235,946 ราย คิดเป็น 82.3% ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 53,683,849 ราย คิดเป็น 77.2% และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 31,658,006 ราย คิดเป็น 45.5%
ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในการประชุม APEC Health Week ว่า ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะสถานการณ์โควิด-19 อาทิ แนวทางเปิดพรมแดนระหว่างประเทศหลังการระบาดของโควิด กรณีต่างประเทศเริ่มให้ถอดหน้ากากอนามัย เช่น สิงคโปร์ ที่จะเริ่มวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งการประชุมเอเปคครั้งนี้ ผู้นำต่างประเทศชื่นชมประเทศไทยที่ยังให้ความร่วมมือใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัยในประเทศไทย เราก็ลดระดับมาต่อเนื่อง ไม่ได้มีกฎหมายบังคับ แต่ให้ประชาชนพิจารณาตามความเสี่ยงของตนเอง เมื่อสวมหน้ากากอนามัยก็ป้องกันตัวจากโรคอื่นได้ด้วย
ส่วนการเปิดพรมแดน ในฐานะรมว.สาธารณสุขไทย เรามีใบรับรองวัคซีนป้องกันโควิด (Vaccine Certificate) ทั้งแบบรูปแบบและอิเล็กทรอนิกส์ในแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม ก็ไม่เสียหาย ถ้าจะนำติดตัวไปต่างประเทศ เพื่อให้มีหลักฐานแสดงได้อย่างสบายใจและสร้างความสะดวกให้ตัวเอง ทั้งนี้ ผู้ที่จะเดินทางเข้าไทยยังต้องใช้ใบรับรองวัคซีนอยู่
ผู้สื่อข่าวถามถึงการหารือวัคซีนโควิดรุ่นใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า ในการประชุมมีการพูดถึงการวิจัย ศึกษา พัฒนาและพูดกันว่าขอให้เรานึกถึงกันและกันมากขึ้น นึกถึงคนทั้งโลก ไม่ใช่ใครหาได้ก็เก็บไว้ใช้คนเดียว ก็จะผิดแนวคิด เพราะคนอื่นยังไม่ปลอดภัยก็ไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องนึกถึงประเทศที่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ เราก็ต้องแบ่งปันให้ถ้วนหน้า เพราะถ้าทุกคนปลอดภัย โรคระบาดก็ทำอะไรเราไม่ได้
“ไทยเราก็ยังพัฒนาวัคซีนต่อไป ไม่ใช่หาซื้อได้แล้วก็ไม่พัฒนาต่อ เราต้องยืนด้วยตนเองให้ได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าการพัฒนาด้วยตัวเองจะแพงกว่า เนื่องจากปริมาณการผลิต แต่ก็ต้องพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ ให้เกิดความมั่นใจว่าเราจะพัฒนาวัคซีนได้ในอนาคต หรือป้องกันการถูกจำกัดส่งผลิต เราจะได้พึ่งพาตนเองได้” นายอนุทินกล่าว
ขณะที่ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงสถานการณ์ระบาดทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 631,116 คน ตายเพิ่ม 1,482 คน ติดเชื้อสะสม 603,850,279 คน เสียชีวิตรวม 6,481,733 คน โดย 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย สหรัฐและไต้หวัน จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 6 ใน 10 อันดับแรก และ 15 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่แต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 85.54 ของทั้งโลก การเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 65.31
รศ.นพ.ธีระยังเผยรายงานสถานการณ์จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ล่าสุด WHO Weekly Epidemiological Update วันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 นั้นครองการระบาดทั่วโลก สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากเดิม 71% เป็น 74% ทั้งนี้ หากวิเคราะห์สายพันธุ์ย่อย BA.5 จะพบการระบาดในปัจจุบันมีหลากหลาย โดย 3 ตัวหลัก ได้แก่ BA.5.1, BA.5.2 และ BA.5.2.1 สัดส่วนใกล้เคียงกันประมาณ 20+% นอกจากสายพันธุ์ย่อย BA.5 แล้ว สายพันธุ์อื่นมีแนวโน้มลดลง อาทิ BA.2 เหลือเพียง 5.6% และ BA.4 เหลือ 6.1% ขณะที่สายพันธุ์ BF.7 หรือที่รู้จักในนาม BA.5.2.1.7 นั้น อยู่ในการจับตามอง เพราะอัตราเพิ่มขึ้นจากเดิม 11% เป็น 14%
รศ.นพ.ธีระยังกล่าวถึงภาวะ Long COVID ที่มีการศึกษาวิจัยในหลายประเทศ อาทิ รพ.มหาวิทยาลัยเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้เผยแพร่ผลวิจัย ที่ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดปัญหา Long COVID ระยะยาว ได้แก่ การที่มีอาการป่วยหลายอาการตอนพบว่าติดเชื้อ ส่วนสหรัฐประเมินผลกระทบจาก Long COVID โดย 2-4 ล้านคนไม่สามารถทำงานได้ คิดเป็นความสูญเสียจากการขาดรายได้ที่สูงถึง 170,000 ล้านเหรียญต่อปี ดังนั้น สำหรับไทย ควรตระหนักถึงความสำคัญของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก Long COVID ทั้งต่อระดับประเทศ ระดับกิจการห้างร้าน ครอบครัว และระดับบุคคลด้วย ไม่ใช่เพียงงานที่ใช้แรงงาน แต่รวมถึงงานที่ต้องใช้สมองและทักษะด้วย
“ข้อมูลการแพทย์จากการศึกษาวิจัยทั่วโลก ฟันธงให้เห็นชัดเจนว่าปัญหา Long COVID เกิดปัญหาจากหลายกลไก ทั้งเรื่องการติดเชื้อเรื้อรังหรือคงค้างของชิ้นส่วนไวรัสในร่างกาย กระบวนการอักเสบเรื้อรัง การทำงานผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายหลังการติดเชื้อ การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ และระมัดระวังเรื่องการกินดื่มร่วมกับผู้อื่น จะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก”รศ.นพ.ธีระกล่าว
วันเดียวกัน นายเท็ดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโล (WHO) แถลงถึงสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ทั่วโลกว่า เป็นเหตุการณ์น่าเศร้าใจ ที่ขณะนี้เรามีเครื่องมือทั้งหมดที่จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ แต่ขณะนี้เรามีผู้เสียชีวิตจากโควิดในปี 2565 ทะลุ 1 ล้านรายแล้ว ดังนั้น ขอให้ทุกรัฐบาลเพิ่มความพยายามในการฉีดวัคซีนให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้สูงวัย และกลุ่มเสี่ยงสูง เพื่อให้สามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรทั้งหมดได้ 70% แต่มี 136 ประเทศที่ไม่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ในจำนวนนี้มี 66 ประเทศที่มีจำนวนผู้ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ต่ำกว่า 40% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และมี 10 ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนต่ำกว่า 10% ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้กำลังเผชิญภาวะฉุกเฉินด้านมนุษยธรรม
ผอ.องค์การอนามัยโลกกล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของประชากรโลกยังไม่ได้ฉีดวัคซีน รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 2 ใน 3 และผู้สูงอายุ 3 ใน 4 ของประเทศรายได้น้อย ดังนั้น ขอให้ทุกประเทศทุกระดับรายได้ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงให้ได้มากที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าจะเข้าถึงการช่วยชีวิต มีการทดสอบและติดตามพัฒนาการของไวรัสต่อเนื่อง เพื่อกำหนดนโยบายควบคุมการแพร่เชื้อและช่วยชีวิตของผู้คนต่อไป
ขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลก รายงานสถานการณ์ระบาดของโรคฝีดาษลิงประจำสัปดาห์ว่า ทั่วโลกพบผู้ป่วยฝีดาษลิงเพิ่มขึ้น 5,907 คนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา และมี 2 ประเทศที่พบผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรก ได้แก่ อิหร่าน และอินโดนีเซีย จนถึงขณะนี้ทั่วโลกมียอดผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมากกว่า 45,000 คน ใน 98 ประเทศ ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมา โดยประเทศที่มีผู้ป่วยฝีดาษลิงสูงสุดร้อยละ 60 คือ สหรัฐฯ และทวีปยุโรปพบผู้ป่วยฝีดาษลิงร้อยละ38 แสดงให้เห็นว่ายอดผู้ป่วยฝีดาษลิงในสหรัฐยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ร้อยละ 98 ของผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงในรอบสัปดาห์ เป็นผู้ชาย และร้อยละ 96 เป็นผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
ผอ.องค์การอนามัยโลก ระบุด้วยว่า แม้มีข้อบ่งชี้ว่าการระบาดของโรคฝีดาษลิงในทวีปยุโรป ซึ่งเคยพบผู้ติดเชื้อมากถึงร้อยละ 90 ของยอดผู้ป่วยทั้งหมด มีแนวโน้มลดลง แต่ยังพบการระบาดที่น่าวิตกในประเทศอื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคละตินอเมริกา ที่ขาดมาตรการป้องกันด้านสาธารณสุข และไม่มีโอกาสเข้าถึงวัคซีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดการระบาดรุนแรงขึ้นได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี