เมื่อัวนที่ 4 ธันวาคม 2565 เว็บไซต์ นสพ. Daily Mail ของอังกฤษ เสนอข่าว Iran ABOLISHES morality police after two months of protests triggered by the death of Mahsa Amini ระบุว่า ทางการอิหร่านตัดสินใจยุบหน่วยงานตำรวจศีลธรรม หรือที่เรียกในภาษาของอิหร่านว่า ซึ่งมีหน้าที่สอดส่องดูแลประชาชนให้ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดแล้ว หลังเกิดกรณี มาห์ซา อามินี (Mahsa Amini) หญิงชาวอิหร่านเชื้อสายเคิร์ด วัย 22 ปี เสียชีวิตขณะถูกจับกุมด้วยข้อหาละเมิดกฎการแต่งกายตามหลักศาสนา ทำให้ประชาชนไม่พอใจและออกมาชุมนุมประท้วงยาวนานกว่า 2 เดือน
โมฮัมหมัด จาฟาร์ มอนตาเซรี (Mohammad Jafar Montazeri) อัยการสูงสุดของอิหร่าน กล่าวว่า ตำรวจศีลธรรมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม พร้อมกับเปิดเผยด้วยว่า รัฐสภากำลังพิจารณายกเลิกข้อบังคับให้ผู้หญิงต้องสวมฮิญาบซึ่งเป็นผ้าคลุมผมแบบชาวมุสลิม ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่พบได้ยากว่า อิหร่านที่ปกครองแบบอิงหลักศาสนากำลังผ่อนปรน
ตำรวจศีลธรรมหรือที่เรียกในภาษาของอิหร่านว่า กัชท์-อี เออร์ชาด (Gasht-e Ershad) ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ในสมัยของประธานาธิบดี มาห์มูด อาห์มาดิเนจาด (Mahmoud Ahmadinejad) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมแห่งความสุภาพเรียบร้อยและการสวมฮิญาบ แต่หลังจากเกิดกรณีจับกุม อามินี เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2565 และทำให้เธอเสียชีวิต การชุมนุมประท้วงก็เริ่มขึ้น อนึ่ง สตรีชาวอิหร่านที่มีวิถีชีวิตแบบสมัยใหม่ มีแนวโน้มสวมฮิญาบน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในย่านทางเหนือของกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน
ในวันที่ 3 ธ.ค. 2565 สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นเผยแพร่คำกล่าวของ เอบราฮิม ไรซี (Ebrahim Raisi) ปธน. คนปัจจุบันของอิหร่าน ที่ระบุว่า รากฐานของความเป็นสาธารณรัฐและความเป็นอิสลามของอิหร่านเป็นที่ยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ แต่ในรัฐธรรมนูญก็ยังมีวิธีดำเนินการแบบยืดหยุ่นได้ ทั้งนี้ อิหร่านกำหนดให้ผู้หญิงทุกคนต้องสวมฮิญาบมาตั้งแต่ปี 2526 หรือ 4 ปีหลังเหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามเพื่อล้มล้างกษัตริย์ที่สหรัฐอเมริกาหนุนหลัง ประเด็นนี้เป็นข้อถกเถียงในอิหร่านตลอดมา ระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ต้องการให้บังคับ ส่วนฝ่ายปฏิรูปอยากให้เป็นแล้วแต่ความสมัครใจ
ถึงกระนั้น ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ระยะหลังๆ จะเห็นสตรีชาวอิหร่านแต่งกายด้วยกางเกงยีนส์รัดรูปและสวมผ้าคลุมผมแบบหลวมๆ และมีสีสันสดใส กระทั่งในเดือน ก.ค. 2565 กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มีแนวคิดสุดโค่ง เรียกร้องให้ทุกองคาพยพของรัฐ เข้มงวดกวดขันกับกฎการสวมฮิญาบมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ต่อมาในเดือน ก.ย. 2565 พรรคการเมืองของฝ่ายปฏิรูปได้เรียกร้องให้ยกเลิกกฎดังกล่าว
พรรคสหภาพของชาวอิหร่านผู้นับถือศาสนาอิสลาม (The Union of Islamic Iran People Party) ซึ่งก่อตั้งโดยญาติของอดีตประธานาธิบดี โมฮัมหมัด คาทานี (Mohammad Khatami) ผู้นำกลุ่มปฏิรูป เรียกร้องให้ทางการอิหร่านเตรียมองค์ประกอบทางกฎหมายเพื่อปูทางไปสู่การยกเลิกข้อบังคับการสวมฮิญาบ ขณะที่พรรคฝ่ายค้านยังเรียกร้องให้รัฐบาลยุติบทบาทของตำรวจศีลธรรมและอนุญาตให้การชุมนุมโดยสงบสามารถทำได้
ขณะที่ทางการอิหร่านกล่าวหาสหรัฐฯ และพันธมิตร อาทิ อังกฤษ อิสราเอล ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐศัตรูของอิหร่าน รวมถึงชาวเคิร์ดที่อยู่นอกประเทศ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทำการยุยงปลุกปั่นให้เกิดการประท้วง โดยยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุชุมนุมดังกล่าวยังไม่แน่ชัด อาทิ นายพลคนหนึ่งในกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม หนึ่งในเหล่าทัพของกองทัพอิหร่าน เปิดเผยว่า อยู่ที่ประมาณ 300 ราย ส่วนสภาความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน ระบุว่ามากกว่า 200 ราย ด้าน IRNA สำนักข่าวของรัฐ ระบุว่า ผู้เสียชีวิตมีทั้งเจ้าหน้าที่ พลเรือน ผู้ประท้วงและกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ในกรุงออสโลของประทเศนอร์เวย์ ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในอิหร่าน กล่าวหาว่า กองกำลังฝ่ายความมั่นคงอิหร่านปราบปรามเหตุประท้วงจนมีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 448 ราย ด้าน โวลเคอร์ เติร์ก (Volker Turk) ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ในการปราบปรามการประท้วงที่อิหร่าน มีผู้ถูกจับกุม 14,000 คน มีทั้งบุคคลที่มีเชื่อเสียง นักกีฬาและสื่อมวลชน อีกทั้งยังรวมถึงเด็กด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ประท้วงอิหร่านลาม 80 เมืองตายเกินครึ่งร้อย จับตา'สหรัฐ-อีลอน มัสก์'โผล่จุ้น
- ส่อบานปลาย! อิหร่านประท้วงเดือด ปมหญิงไม่สวมฮิญาบเสียชีวิตหลังถูกคุมตัว
- อิหร่าน'สั่งตัดสินประหารชีวิตผู้เข้าร่วมประท้วงต้านรัฐ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี