ปารีส/เคียฟ/มอสโก (เอเอฟพี/รอยเตอร์ส) - ยูเครนอ้างว่า รัสเซียกำลังวางแผนโจมตียูเครนครั้งใหญ่เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีที่เปิดฉากบุกยูเครนตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีก่อน ขณะที่รัสเซียเตือนผู้มอบอาวุธให้ยูเครน จะยิ่งส่งผลให้การสู้รบหนักหน่วงรุนแรงขึ้น แต่รัสเซียก็พร้อมจะทำลายอาวุธเหล่านั้นให้หมด
นายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกลาโหมของยูเครน กล่าวกับสื่อของฝรั่งเศสที่กรุงปารีสว่า รัสเซียอาจใช้คำสั่งระดมกำลังพลครั้งใหญ่ เขายังอ้างว่าจำนวนทหารรัสเซียที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนอาจมีสูงเกือบ 500,000 นาย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าคำสั่งระดมกำลังทหารเกณฑ์ 300,000 นายในเดือนกันยายนปีก่อน ทั้งยังระบุว่า การโจมตีครั้งใหญ่ของรัสเซียอาจเกิดขึ้นที่สมรภูมิรบ 2 แห่ง คือ ภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งถูกโจมตีอย่างหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และภาคใต้
ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์เซเลนสกี ของยูเครน แถลงผ่านคลิปวีดีโอเมื่อช่วงค่ำวันพุธตามเวลาท้องถิ่นว่า กองทัพรัสเซียกำลังพยายามหาทางทำอะไรบางอย่างเพิ่มเติมเพื่อฉลองที่บุกโจมตียูเครนครบ 1 ปี และว่า แนวรบด่านหน้าทางตะวันออกของยูเครนกำลังถูกบุกโจมตีเพิ่มมากขึ้นและตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้นเช่นกัน ขณะที่นายโอเล็กซี ดานิลอฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงและป้องกันแห่งชาติของยูเครน ออกมาเตือนเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า รัสเซียกำลังเตรียมการเพื่อบุกโจมตียูเครนอีกครั้งเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีที่เปิดฉากบุกโจมตียูเครน
ขณะเดียวกัน หลังจากที่มีหลายประเทศมอบอาวุธให้ยูเครน และยังหารือกันเรื่องมอบเครื่องบินรบด้วย รัฐบาลรัสเซียจึงได้แถลงเตือนประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ที่ชี้ว่าเป็นไปได้ที่จะส่งเครื่องบินรบไปช่วยเหลือยูเครน โดย มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย แถลงว่า เธอไม่อยากเชื่อว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างมาครง จะไม่เข้าใจตรรกะเหตุผลว่า การส่งเครื่องบินรบให้ยูเครน
จะทำให้การสู้รบรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ซาคาโรวายังวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ที่เพิ่งเผยว่ากำลังพิจารณาส่งมอบอาวุธไปช่วยเหลือยูเครนด้วย โดยกล่าวว่า รัสเซียมองว่ากองทัพของตนสามารถทำลายอาวุธเหล่านี้ได้โดยชอบธรรม
หลังจากที่หลายประเทศตกลงส่งรถถังทันสมัยรวมกว่าร้อยคันให้ยูเครน ขณะนี้ยังถกเถียงกันว่า ควรส่งเครื่องบินรบและอาวุธหนักอื่นๆ ให้ยูเครนหรือไม่ อย่างไรก็ดี หลายประเทศรวมถึงสหรัฐฯ อังกฤษ และเยอรมนี ปฏิเสธอย่างชัดเจนเพราะจะทำให้สถานการณ์ลุกลามหนักขึ้น ขณะที่ฝรั่งเศสยังคงสงวนท่าทีในเรื่องนี้