เจนีวา (เอเอฟพี/รอยเตอร์ส) - องค์การอนามัยโลก ประกาศ “แอสปาร์แตม” มีความเป็นไปได้เป็นสารก่อมะเร็ง แต่ยังปลอดภัยที่จะบริโภคต่อไป นักวิทยาศาสตร์แนะ “สตีเวีย” หรือหญ้าหวานอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า แอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มี “ความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็ง” แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงปริมาณจำกัดของแอสปาร์แตมที่สามารถบริโภคได้ และยังคงปลอดภัยที่จะบริโภคต่อไปในปริมาณที่จำกัดตามที่กำหนดไว้เดิมมานานกว่า 40 ปี โดยแอสปาร์แตม เป็นหนึ่งในสารให้ความหวานที่นิยมใช้กันมากที่สุดในโลก ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างเช่น น้ำอัดลม Coca-Cola diet ไปจนถึงหมากฝรั่งของ Mars
ผลสรุปดังกล่าวเป็นผลมาจากการพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญ 2 คณะขององค์การอนามัยโลก โดยคณะแรกตรวจสอบว่ามีหลักฐานใดที่ยืนยันว่า สารใดสารหนึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอันตรายหรือไม่ ส่วนอีกคณะประเมินว่า สารดังกล่าวมีความเสี่ยงจริงในการใช้ในชีวิตจริงมากน้อยเพียงใด ก่อนที่สำนักวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ หรือ IARC ขององค์การอนามัยโลก ประกาศผลสรุปเกี่ยวกับแอสปาร์แตมไปเมื่อวานนนี้(14 ก.ค.) ตามเวลาในนครเจนีวา ว่าแอสปาร์แตมมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็ง นับเป็นการประกาศครั้งแรกของคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกคณะนี้เกี่ยวกับแอสปาร์แตม
การจัดชั้นให้สารใดให้อยู่ในชั้นความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นสารก่อมะเร็ง หมายความว่า พบหลักฐานจำกัดว่าสารดังกล่าวอาจทำให้เป็นมะเร็งได้ แต่ IARC ไม่ได้พิจารณาเลยไปถึงว่า สามารถบริโภคสารดังกล่าวได้มากน้อยเท่าใดต่อมนุษย์ ส่วนการพิจารณาเรื่องปริมาณการบริโภคต่อคน เป็นหน้าที่ของคณะผู้เชี่ยวชาญอีกคณะหนึ่งขององค์การอนามัยโลก คือ คณะกรรมการร่วมว่าด้วยสารเติมแต่งในอาหารขององค์การอาหารและเกษตร หรือ FAO ซึ่งอยู่ในสังกัดขององค์การอนามัยโลกด้วย ชื่อย่อของคณะกรรมการร่วมนี้คือ JECFA
ในส่วนของ JECFA ก็ประกาศผลการทบทวนตรวจสอบแอสปาร์แตมว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันอันตรายที่เกิดจากแอสปาร์แตม และยังคงแนะนำว่าสามารถบริโภคต่อไป ในปริมาณที่จำกัดตามที่กำหนดไว้เดิม คือต่ำกว่า 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน JECFA เองเป็นผู้กำหนดปริมาณจำกัดในการบริโภคแอสปาร์แตมในระดับนี้มาตั้งแต่ปี 1981 แล้ว หรือเมื่อ 42 ปีก่อน แล้วผู้คุมกฎในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่างก็ให้คำแนะนำเช่นเดียวกันนี้แก่ประชากรของตน
ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก คนที่มีน้ำหนักระหว่าง 60-70 กิโลกรัม จะต้องดื่มน้ำอัดลม 9-14 กระป๋องต่อวัน ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำอัดลมที่คนส่วนใหญ่บริโภคประมาณ 10 เท่า จึงจะเกินปริมาณจำกัดในการบริโภคแอสปาร์แตมในระดับที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากปริมาณแอสปาร์แตมโดยเฉลี่ยในน้ำอัดลม
ส่วนความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ หลายคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์การอนามัยโลก หรือการทบทวนตรวจสอบแอสปาร์แตม ชี้ว่าหลักฐานที่เชื่อมโยงแอสปาร์แตมกับมะเร็งนั้น ยังอ่อน ส่วนนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ เห็นว่า “สตีเวีย” หรือหญ้าหวาน อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าแอสปาร์แตม ขณะที่ปฏิกิริยาจากสมาคมด้านอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ชี้ว่า คำวินิจฉัยของคณะผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก ล่าสุดยืนยันว่าแอสปาร์แตมปลอดภัยและเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำตาลในอาหาร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี