แรงกดดัน ‘ครอบครัว-เศรษฐกิจ-รัฐ’ ปัจจัย ‘จีนรุ่นใหม่’ ทิ้งบ้านเกิดบินหาโอกาสใน‘อาเซียน’
28 ก.ค. 2566 เว็บไซต์ นสพ.Daily Mail ของอังกฤษ เสนอข่าว Young Chinese opt out of the rat race and pressures at home to pursue global nomad lifestyle ระบุว่า ชาวจีนวัยทำงานมองเห็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เป็นดินแดนแห่งโอกาส อาทิ จางฉวนหนาน (Zhang Chuannan) หญิงวัย 34 ปี ที่เคยเป็นพนักงานบัญชีในบริษัทเครื่องสำอางในเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่หลังจากถูกเลิกจ้าง เธอก็ยอมจ่ายเงิน 1,400 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.8 หมื่นบาท) สำหรับคอร์สเรียนภาษาไทยออนไลน์ จากนั้นเมื่อได้รับวีซ่านักศึกษา ก็ตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ เมืองทางภาคเหนือของประเทศไทยที่มีทิวทัศน์สวยงาม
ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จาง เล่าว่า ตนถูกขังอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่เซี่ยงไฮ้ครั้งละหลายสัปดาห์ และแม้ว่าจะมีการยกเลิกการล็อกดาวน์ แต่ก็กลัวว่าหากโควิด-19 ระบาดอีกครั้งจะทำให้ไม่สามารถเดินทางไป-มาในประเทศได้ ตนยอมรับว่าปัจจุบันให้ความสำคัญกับเสรีภาพมากขึ้น และเงินที่ได้เป็นค่าชดเชยการถูกเลิกจ้างก็ช่วยให้ตนมีเวลาอยู่ในประเทศไทย และยอมรับว่ากำลังมองหาวิธีอยู่ต่างประเทศระยะยาว โดยอาจรับสอนภาษาจีนทางออนไลน์ เพราะการย้ายมาที่เชียงใหม่หมายถึงการตื่นขึ้นในตอนเช้าเพื่อฟังเสียงนกร้องและการใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ตนมีเวลาฝึกโยคะและทำสมาธิ เลือกซื้อเสื้อผ้าวินเทจ และเข้าชั้นเรียนเต้น
จางเป็นหนึ่งในคนหนุ่ม-สาวชาวจีนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ย้ายไปต่างประเทศเพื่อหลีกหนีจากวัฒนธรรมการทำงานที่มีการแข่งขันสูง แรงกดดันจากครอบครัว และโอกาสที่จำกัด หลังจากใช้ชีวิตในเผ่นดินเกิดภายใต้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดเป็นเวลา 3 ปี หลายชาติในอาเซียนได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมเนื่องจากอยู่ใกล้ ค่าครองชีพค่อนข้างถูก และบรรยากาศแบบเมืองร้อน
ไม่มีข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนชาวจีนรุ่นใหม่ที่ย้ายไปต่างประเทศ นับตั้งแต่แดนมังกรยุติมาตรการควบคุมโรคและกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง แต่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน “เสี่ยวหงซู (Xiaohongshu)” ผู้คนจำนวนหลายร้อยได้หารือเกี่ยวกับการตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมายังประเทศไทย หลายคนได้รับวีซ่าเพื่อเรียนภาษาไทยในขณะที่กำลังค้นหาขั้นตอนต่อไป ขณะที่มหาวิทยาลัยพายัพ จ.เชียงใหม่ พบชาวจีนประมาณ 500 คนเริ่มเรียนหลักสูตรภาษาไทยออนไลน์เมื่อต้นปี 2566
รอยซ์ เหิง (Royce Heng) เจ้าของ Duke Language School สถาบันสอนภาษาเอกชนในกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า มีชาวจีนประมาณ 180 คนสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลวีซ่าและหลักสูตรต่างๆ ในแต่ละเดือน ทั้งนี้ การแสวงหาโอกาสที่ห่างไกลจากบ้านมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากอัตราการว่างงานของจีนสำหรับกลุ่มประชากรวัยรุ่นอายุระหว่าง 16-24 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 21.3 ในเดือน มิ.ย. 2566 ซึ่งการขาดแคลนงานที่ดีจะเพิ่มแรงกดดันให้ต้องมีชั่วโมงการทำงานเป็นเวลานาน
อินโดนีเซีย เป็นอีกประเทศที่ชาวจีนมองเป็นทางเลือก อาทิ อาร์โมนิโอ เหลียง (Armonio Liang) ชายวัย 38 ปี จากเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ทางภาคตะวันตกของจีน ตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดออกไปแสวงหาโอกาสบนเกาะบาหลี ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมของคนทำงานสายเทคโนโลยีดิจิทัล เนื่องจากต้องการหลีกหนีข้อจำกัดของรัฐบาลแดนมังกร อาทิ การเริ่มต้นกิจการสื่อสังคมออนไลน์ Web3 ถูกจำกัดโดยรัฐ และการใช้แอปพลิเคชั่นแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลก็ถูกตำรวจถูกคุกคาม
เหลียง กล่าวว่า การย้ายไปบาหลีทำให้ตนมีอิสระมากขึ้น ได้ใช้ชีวิตในแบบชนชั้นกลางในจำนวนเงินที่เมื่อเทียบกับการใช้บนแผ่นดินเกิดแล้วที่แทบจะไม่เพียงพอ หนุ่มรายนี้ยังพูดถึงการใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนั่งทำงานริมชายหาดอีกทั้งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาวต่างชาติจากทั่วโลก ซึ่งทำให้ตนรู้สึกว่าไม่เคยมีความคิดสร้างสรรค์มากขนาดนี้มาก่อน และแน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ที่จีน แม้กระทั่งบรรยากาศรอบข้างที่ดูอบอุ่นกว่ามาก โดยหากเป็นที่เฉิงตู หันไปทางไหนก็มีแต่คนที่ดูเคร่งเครียด และการยิ้มให้คนแปลกหน้าก็อาจทำให้ถูกมองว่างี่เง่า
ทั้งเหลียงและจางแม้จะเลือกออกจากบ้านเกิดโดยมีปลายทางคนละประเทศ แต่ทั้งคู่ก็เจอแรงกดดันจากทางบ้านเหมือนกัน โดยจางนั้นครอบครัวของเธอมักถามว่าเมื่อไรจะแต่งงาน ส่วนเหลียงนั้นต้องการให้พ่อแม่ย้ายตามเขามาอยู่ที่บาหลีด้วยกัน เพราะพ่อแม่นั้นก็กลัวว่าจะเหงาเมื่อลูกชายไม่ได้อยู่ที่จีน แต่อีกด้านก็กังวลเกี่ยวกับทรัพยากรทางการแพทย์ที่ประเทศปลายทาง
หวงว่านฉอง (Huang Wanxiong) ชาวเมืองกวางโจว ทางภาคใต้ของจีน หนุ่มวัย 32 ปี ผู้ต้องใช้ชีวิตบนเกาะโบฮอลในฟิลิปปินส์เป็นเวลา 7 เดือน เมื่อปี 2563 เนื่องจากประเทศต่างๆ ระงับการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างกัน จากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงว่างๆ เขาเลือกฆ่าเวลาด้วยการฝึกดำน้ำ ซึ่งรวมถึงการดำน้ำลึกโดยไม่ต้องใช้ถังออกซิเจน แต่หลังจากได้เดินทางกลับบ้านเกิด ในปี 2564 เมื่อจีนใช้มาตรการกวาดล้างสถาบันกวดวิชา ก็ทำให้เขาซึ่งเป็นติวเตอร์เอกชนต้องตกงานอีกครั้ง และต้องดิ้นรนกับการเป็นคนขับรถรับจ้างวันละ 16 ชั่วโมง
กระทั่งเดือน ก.พ. 2566 หวงได้กลับไปยังฟิลิปปินส์อีกครั้ง และหลีกหนีแรงกดดันจากครอบครัวทั้งเรื่องการหางานและหาคู่ครอง หนุ่มแดนมังกรเลือกที่จะสานสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับผู้คนบนเกาะโบฮอล พร้อมกับสอบใบอนุญาตเป็นครูสอนดำน้ำ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเรียน การไม่มีรายได้ทำให้ต้องกลับบ้านเกิดในเดือน มิ.ย. 2566 ถึงกระนั้นเขาก็ยังหวังว่าจะสามารถหาเลี้ยงชีพด้วยการสอนดำน้ำ โดยอาจจะกลับมาอาเซียนอีกครั้ง แม้อีกทางหนึ่งจะเห็นด้วยกับพ่อแม่ที่จะอพยพไปเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตที่เปรู ประเทศในทวีปอเมริกาใต้
หวง ยังเล่าอีกว่า ครั้งหนึ่งตนโผล่ขึ้นมาเร็วเกินไปจากการดำน้ำลึก 40 เมตร (131 ฟุต) และมือนั้นสั่นเพราะขาดออกซิเจน ซึ่งนั่นเป็นอันตรายหรือที่เรียกว่าภาวะขาดออกซิเจน มันกลายเป็นบทเรียนที่ตนได้รับ นั่นคือการหลีกเลี่ยงการเร่งรีบและรักษาระดับการไต่ระดับให้คงที่ ซึ่งจนกว่าจะถึงก้าวต่อไป ตนวางแผนที่จะใช้หลักคิดที่ได้รับจากการฝึกวิชาดำน้ำเพื่อรับมือกับความวิตกกังวลในการใช้ชีวิตในจีน ตนจะใช้ความสงบได้เรียนรู้จากทะเลรอบเกาะนั้นกับชีวิตจริง และจะรักษาจังหวะของตนเอง
ศ.เบเวอร์ลี หยวน ธอมป์สัน (Prof.Beverly Yuen Thompson) ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยา วิทยาลัยเซียนนา เมืองอัลบานีในรัฐนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การเลือกที่จะไม่ทำเป็นวิธีที่นิยมมากขึ้นสำหรับคนทำงานอายุน้อยในการรับมือกับช่วงเวลาที่ต้องเดินทางน้อยลง ในช่วงวัย 20-30 ต้นๆ คนเหล่านี้สามารถไปประเทศไทย ถ่ายรูปเซลฟี่และทำงานบนชายหาดสัก 2-3 ปี และรู้สึกว่าพวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดี หากคนพเนจรเหล่านั้นมีโอกาสแบบเดียวกับที่พวกเขาหวังไว้ในประเทศบ้านเกิด พวกเขาก็ไปเที่ยวพักผ่อนได้
“ชีวิตในต่างแดนไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุยบนชายหาดและเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรเท่านั้น สำหรับคนหนุ่ม-สาวส่วนใหญ่ การเข้าพักในลักษณะดังกล่าวจะเป็นการสลับฉากในชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถมีลูกได้ เพราะเด็กๆ ต้องไปโรงเรียน พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่แทนพ่อแม่ของพวกเขาได้ จะทำอย่างไรถ้าพ่อแม่ที่แก่ชราต้องการความช่วยเหลือ ในที่สุดพวกเขาก็จะได้งานเต็มเวลาที่บ้านและถูกเรียกตัวกลับบ้านเพราะหนึ่งในนั้น” ธอมป์สัน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี