วันที่ 9 ตุลาคม 2566 นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง รายงานข่าว European milk makers eye Thailand exit over Australia, New Zealand rivals’ tariff advantages ระบุว่า ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้านมแปรรูปแบรนด์ดังจากสหภาพยุโรป (EU) ส่อย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมา หากนับตามปริมาตร ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกนมปรุงแต่ง “ยูเอชที (UHT)” มากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ผู้ผลิตในประเทศไทย เช่น เนสท์เล่ในสวิตเซอร์แลนด์ และฟรีสแลนด์คัมพินาของเนเธอร์แลนด์ พึ่งพาส่วนผสมนมนำเข้าจาก EU สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์มาเป็นเวลานาน เนื่องจากการผลิตในไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ กำลังกังวลว่า ตั้งแต่ปี 2568 เมื่อข้อตกลงการค้าเสรีกับนิวซีแลนด์และออสเตรเลียครบกำหนด คู่แข่งจากประเทศเหล่านั้นจะสามารถเข้าถึงวัตถุดิบที่มีราคาถูกลง โดยอาศัยภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์นมที่ไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้ผู้ผลิตในยุโรปเสียเปรียบและต้องออกจากตลาด
สิ่งนี้จะส่งผลให้ผู้ผลิตจากประเทศที่ไม่สามารถเข้าถึงส่วนผสมนมของนิวซีแลนด์หรือออสเตรเลียที่เสียภาษีเป็นศูนย์ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 214 สำหรับปัจจัยการผลิตที่สำคัญเหล่านี้ ซึ่ง โอลิเวอร์ ฟอล (Oliver Fall) รองประธานฝ่ายที่ปรึกษา Edelman Global Advisory ซึ่งคุ้นเคยกับการเจรจาระหว่างอุตสาหกรรมนมของไทยและรัฐบาล เปิดเผยว่า การดำเนินงานของผู้ผลิตนมในยุโรปบางรายในราชอาณาจักรได้ยุติลงแล้ว ในขณะที่รายอื่นๆ อาจจะเคลื่อนไหวในไม่ช้านี้ โดยย้ายฐานการผลิตไปยังอินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือเวียดนาม
“รัฐบาลไทยสามารถพิจารณาออกการลดภาษีชั่วคราวสำหรับระยะเวลาที่กำหนดให้กับผู้ผลิตนมในยุโรปและผู้ผลิตนมรายอื่นๆ ในขณะที่กำลังเจรจาข้อตกลงทางการค้าใหม่ การขาดข้อตกลงการค้าเสรีของสหภาพยุโรปกับไทยเป็นผลมาจากการเจรจาที่หยุดชะงักมาตั้งแต่ช่วงหลังจากการรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร (Thaksin Shinawatra) เมื่อปี 2549 ขณะที่นิวซีแลนด์และออสเตรเลียลงนามข้อตกลงในปี 2548” ฟอล ระบุ
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ฟรีสแลนด์คัมพินา ซึ่งเปิดดำเนินการในประเทศไทยมาเป็นเวลาประมาณ 67 ปี ได้ประกาศเมื่อเดือน ก.ค. 2565 ว่ากำลังจะออกจากธุรกิจนมพาสเจอร์ไรส์ในไทย และปิดโรงงานที่ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ ซึ่งเปิดดำเนินการมานานหลายทศวรรษ โดยระบุว่ามีความจำเป็นสำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อยกระดับการแข่งขันกับบริษัทจากนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ผู้ผลิตที่นำเข้าจากสหรัฐฯ และยุโรปโดยเฉพาะ กำลังขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาลดภาษีหรือพิจารณาดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่
รายงานของอุตสาหกรรมนม ชี้ว่า ความไม่สมดุลของภาษีกำลังสร้างความไม่มั่นคงและเพิ่มความเปราะบางในภาคอุตสาหกรรมนมของไทย สิ่งนี้อาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดที่ได้รับการประเมินร้อยละ 40 ลดการลงทุนหรือออกจากตลาด ข้อกำหนดที่สำคัญสำหรับการแก้ไขภาษีตามหลักชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง (MFN) เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมนมไทย ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มระหว่างประเทศแสดงความต้องการปิดและลดการดำเนินงานในประเทศไทย ประกอบกับสภาพแวดล้อมเงินเฟ้อทั่วโลก สถานการณ์ย่ำแย่ลงอย่างมากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
คริส ฮัมฟรีย์ (Chris Humphrey) กรรมการบริหารของสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน กล่าวว่า ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคนมที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทยจะต้องทนทุกข์ทรมานเนื่องจากมีทางเลือกน้อยลงและราคาที่สูงขึ้น ต้นทุนที่สูงขึ้นจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภค และอาจฉุดรั้งอุตสาหกรรมในท้องถิ่นไว้เพราะไม่สามารถสร้างสรรค์และเติบโตได้ ทั้งนี้ การบริโภคนมในไทยและที่อื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นและชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น
รายงานที่จัดทำร่วมกันของ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) คาดการณ์สถานการณ์ปี 2566-2575 พบว่า จีนจะยังคงเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์นมที่สำคัญที่สุดของภูมิภาค รองลงมาคืออาเซียน อุตสาหกรรมนมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตสูงถึงร้อยละ 7 ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า ในขณะที่ทีมวิจัยการเกษตรของ Rabobank คาดการณ์ว่า ความต้องการจะเติบโตอย่างรวดเร็วในระดับภูมิภาคในทศวรรษหน้า
ภายในปี 2573 ธนาคารดัตช์คาดการณ์ว่าจะมีการขาดดุลการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมสำหรับสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุด 6 ประเทศของกลุ่มอาเซียน ซึ่งมีจำนวนเกือบ 1.9 หมื่นล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.3 หมื่นล้านลิตรเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งรายงานของ Rabobank ชี้ว่า สิ่งนี้จะเห็นการเติบโตของความต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมในภูมิภาคนี้เป็นอย่างดี และบดบังความต้องการของจีนอย่างแท้จริง โดยคาดว่าการขาดดุลนมประจำปีจะสูงถึง 1.5 พันล้านลิตรในปี 2573
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ในประเทศไทย การนำเข้าผลิตภัณฑ์ เช่น นมผงไม่ขัดสีและนมพร่องมันเนย เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 ในช่วงทศวรรษระหว่างปี 2556-2565 ตามรายงานของกลุ่มอุตสาหกรรมนมที่ส่งถึงรัฐบาลไทย โดยเน้นย้ำถึงความต้องการผลิตภัณฑ์นมที่เพิ่มขึ้นของอาเซียน แต่แม้จะมีความต้องการอย่างมาก ผู้ผลิตนมในยุโรปและผู้ผลิตนมรายอื่นๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการดำเนินงานมากมายในตลาดไทยมานานหลายปี
โอฬาร โชว์วิวัฒนา (Olarn Chowiwattana) ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้ผลิตต้องสำรวจระบบโควตาและภาษีการซื้อที่ซับซ้อน เพื่อหาราคาที่ดีที่สุดที่จะได้รับจากการนำเข้า ผู้ผลิตสามารถมีสิทธิ์ได้รับการลดภาษีหากซื้อโควต้านมที่ผลิตในท้องถิ่น ในทางตรงกันข้าม ผู้ผลิตในนิวซีแลนด์และออสเตรเลียสามารถข้ามขั้นตอนนี้ได้เมื่อผลิตภัณฑ์นมปลอดภาษีจากทั้งสองประเทศเข้าสู่ตลาดไทยในเดือน ม.ค. 2568 โดยให้พวกเขาพิจารณานำเข้าเป็นครั้งแรก และอาจลดต้นทุนการดำเนินงานลงร้อยละ 50
“หากมีนมราคาถูกของออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์เข้ามา และทุกคนเข้าถึงได้เหมือนกัน ผมคิดว่านั่นอาจดูไม่ยุติธรรมเลย แต่ผมเกรงว่าบริษัทในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะมีข้อได้เปรียบในการควบคุมอุปทานนั้นอยู่แล้ว นั่นเป็นอันตรายประการแรก ประการที่สอง เราไม่ต้องการพึ่งพานมจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เพียงอย่างเดียว” โอฬาร กล่าว
ไทยต้องพึ่งพานมจากนิวซีแลนด์เป็นอย่างมาก ซึ่งนิวซีแลนด์ได้ส่งออกไปยังประเทศไทยมากกว่าออสเตรเลีย ตั้งแต่ปี 2558 การเติบโตของการผลิตนมของนิวซีแลนด์ชะลอตัวลง และคาดว่าจะทรงตัวเนื่องจากจำนวนโคนมลดลงเนื่องจากกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดย โอฬาร กล่าวว่า มันจะดีกว่าหากไทยลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่กับยุโรปและประเทศอื่นๆ ที่ผู้ผลิตนมตั้งอยู่ในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว และหากผู้ผลิตนมจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้รับประโยชน์จากภาษีอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมนมของไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงและแรงงานอาจมีคนต้องตกงานมากขึ้นซึ่งการเลิกจ้างนั้นถือเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้ประกอบการอยากทำ
ข้อตกลงการค้าเสรีมักเป็นวิธีที่ประเทศต่างๆ สร้างเงื่อนไขการค้าที่ดีขึ้นสำหรับผู้ส่งออก ซึ่งแทนที่จะลดหย่อนภาษีในระยะสั้น ฮั่น-คู โหยว (Han-Koo Yeo) นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ผู้ผลิตนมระหว่างประเทศควรเตรียมพร้อมสำหรับไทย เพื่อเลือกเส้นทางการเจรจาข้อตกลงทางการค้าใหม่ที่ยาวนานขึ้น เนื่องจากภายในประเทศ ผู้ผลิตนมมีแนวโน้มคัดค้านการปรับภาษีรัฐบาลไทย และรัฐบาลอาจต้องขออนุมัติจากรัฐสภาก่อนดำเนินการดังกล่าว
ขอบคุณเรี่องจาก
https://www.scmp.com/week-asia/economics/article/3237103/european-milk-makers-eye-thailand-exit-over-australia-new-zealand-rivals-tariff-advantages
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี