วันที่ 13 เมษายน 2567 สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา รายงานข่าว US expects Iran to carry out direct attack on Israel, sources say, as Biden warns ‘don’t’ ระบุว่า โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนอิหร่านว่าอย่าได้คิดที่จะโจมตีอิสราเอล เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่มีแหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า สหรัฐฯ คาดว่าอิหร่านจะโจมตีหลายเป้าหมายภายในอิสราเอลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และเตรียมที่จะช่วยสกัดกั้นอาวุธใดๆ ที่ยิงใส่พันธมิตรของตน ในขณะที่ฝ่ายบริหารของไบเดนกำลังเฝ้าระวังอย่างสูงต่อสิ่งที่อาจเป็นการระเบิดของ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผันผวนอย่างมากและไม่อาจคาดเดาได้ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจะถือเป็นการยกระดับความรุนแรงในภูมิภาค ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่สหรัฐฯ หวังที่จะหลีกเลี่ยงนับตั้งแต่เริ่มสงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2566 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงและแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับหน่วยข่าวกรอง คาดการณ์ว่า กลุ่มหรือองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน อาจโจมตีเป้าหมายทั้งในอิสราเอลและรอบๆ ภูมิภาค ขณะที่ความพร้อมของสหรัฐฯ ในการสกัดกั้นอาวุธที่ยิงใส่อิสราเอล ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงระดับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างทั้ง 2 ชาติ
สหรัฐฯ สังเกตเห็นอิหร่านเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ไปรอบๆ ภายในประเทศ รวมถึงโดรนและจรวดร่อน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ากำลังเตรียมโจมตีเป้าหมายของอิสราเอลจากภายในอาณาเขตของตน ตามการระบุของบุคคลสองคนที่คุ้นเคยกับหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ โดยคนหนึ่งกล่าวว่า สหรัฐฯ สังเกตเห็นอิหร่านเตรียมจรวดร่อนมากถึง 100 ลูก แต่ไม่ชัดเจนว่าอิหร่านกำลังเตรียมโจมตีจากพื้นดินโดยเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีครั้งแรก หรือกำลังวางท่าที่จะพยายามขัดขวางอิสราเอลหรือสหรัฐฯ ไม่ให้ทำการโจมตีตอบโต้ที่เป็นไปได้ในดินแดนของตน
ในวันที่ 12 เม.ย. 2567 ปธน. ไบเดน กล่าวย้ำกับสื่อว่า สหรัฐฯ ทุ่มเทให้กับการปกป้องอิสราเอล และอิหร่านจะไม่ประสบความสำเร็จ และฝ่ายบริหารของทำเนียบขาว ยืนยันว่ายังคงมีคำขู่ของจริงที่น่าเชื่อถือและเป็นไปได้ต่อการโจมตีของอิหร่าน ภายหลังการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานทูตอิหร่านในซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้นายพลอิหร่านเสียชีวิต 3 คน ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวเตือนในสัปดาห์นี้ว่าอิหร่านกำลังคุกคามด้วยการโจมตีครั้งใหญ่ต่ออิสราเอล ได้รับข้อมูลจากฝ่ายด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสถานการณ์
สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ รวมถึงอังกฤษและฝรั่งเศส ออกแนวปฏิบัติการเดินทางใหม่สำหรับพนักงานรัฐบาลในอิสราเอล ในขณะที่ภัยคุกคามจากอิหร่านกำลังใกล้เข้ามา โดย จอห์น เคอร์บี (John Kirby) โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่ระบุว่่าภัยดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ก่อนหน้านี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ในทะเลแดงได้สกัดกั้นขีปนาวุธพิสัยไกลที่ยิงจากกลุ่มฮูตีในเยเมนมุ่งหน้าสู่อิสราเอล ซึ่งกองกำลังสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรียยังสามารถสกัดกั้นโดรนและจรวดที่มุ่งเป้าไปที่อิสราเอลตอนเหนือได้ ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่พวกมันถูกปล่อย ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า กำลังเตรียมขนย้ายยุทโธปกรณ์ไปยังตะวันออกกลาง เพื่อสนับสนุนความพยายามป้องปรามในภูมิภาค และเพิ่มการป้องกันสำหรับกองกำลังสหรัฐฯ
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ทำงานโดยเฉพาะเพื่อเสริมการป้องกันทางอากาศให้กับกองทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในอิรักและซีเรีย ซึ่งถูกโจมตีโดยกองกำลังตัวแทนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านมากกว่า 100 ครั้งระหว่างเดือน ต.ค. 2566-ก.พ. 2567 เช่น ในเดือน ม.ค. 2567 ทหารสหรัฐฯ สามคนเสียชีวิตเมื่อโดรนลำหนึ่งแล่นผ่านการป้องกันทางอากาศของสหรัฐฯ ที่ฐานทัพทาวเวอร์ 22 ในจอร์แดน ทั้งนี้สหรัฐฯ ไม่ได้คาดหวังว่าอิหร่านหรือผู้ที่อิหร่านสนับสนุนจะโจมตีกองกำลังสหรัฐฯ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้ แต่เคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ในกรณีฉุกเฉิน
CNN รายงานเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สหรัฐฯ อยู่ในภาวะตื่นตัวขั้นสูงและเตรียมการอย่างแข็งขันสำหรับการโจมตีโดยอิหร่านที่มุ่งเป้าไปที่ทรัพย์สินของอิสราเอลหรือสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ และรายงานเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า การโจมตีของอิหร่านต่ออิสราเอลน่าจะดำเนินการโดยกองกำลังตัวแทนของอิหร่านในภูมิภาค แทนที่จะเป็นโดยกองทัพอิหร่านโดยตรง ตามการระบุของบุคคลสองคนที่คุ้นเคยกับข่าวกรองสหรัฐฯ ในเรื่องนี้
แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า อิหร่านระวังการสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก และไม่ต้องการให้สหรัฐฯ หรือพันธมิตรมีข้ออ้างในการโจมตีอิหร่านโดยตรง ซึ่งอิหร่านและกลุ่มติดอาวุธตัวแทนดูเหมือนจะไม่พร้อมที่จะโจมตีกองทหารสหรัฐฯ หรือทรัพย์สินอื่นๆ ในภูมิภาค แต่มีข้อสังเกตว่า อิหร่านไม่มีคำสั่งและการควบคุมที่สมบูรณ์แบบเหนือกองกำลังตัวแทนทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจถูกโจมตีทรัพย์สินออกได้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่ ปธน.ไบเดน ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับ เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับภัยคุกคามจากอิหร่าน
กรณีอิหร่านโจมตีอิสราเอลโดยตรง เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ฝ่ายบริหารของไบเดนกำลังเผชิญอยู่ เนื่องจากจะเป็นการรับประกันว่าสถานการณ์ที่สับสนอลหม่านอยู่แล้วในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว การโจมตีดังกล่าวอาจนำไปสู่การที่สงครามอิสราเอล-ฮามาส จะขยายวงกว้างไปสู่ความขัดแย้งระดับภูมิภาคในวงกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไบเดนพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด
จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า ไบเดนรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์นี้หลายครั้งต่อวัน และเปิดเผยเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2567 ว่า สหรัฐฯ สื่อสารอย่างต่อเนื่องกับอิสราเอล และกำลังดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้มั่นใจว่าอิสราเอลสามารถปกป้องตนเองได้ พร้อมยกตัวอย่างการเยือนอิสราเอลของ เอริค ครูริลลา (Erik Kurilla) ผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 12 เม.ย. 2567 เพื่อพบกับกองทัพอิสราเอล
แหล่งข่าวคนหนึ่งให้ข้อมูลกับ CNN ว่า การเดินทางไปอิสราเอลของคูริลลาถูกขยับขึ้น เนื่องจากความคาดหวังว่าอิหร่านจะตอบโต้ต่อการที่อิสราเอลมุ่งเป้าไปที่สถานกงสุลอิหร่านในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีการสนทนาหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้อิสราเอลอย่าเพิ่มสถานการณ์ในการตอบโต้อิหร่าน ขณะที่แหล่งข่าวอีกคนกล่าวว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รู้สึกหงุดหงิดกับเจ้าหน้าที่อิสราเอล เรื่องความขาดข้อมูลที่อิสราเอลแชร์ก่อนการโจมตีในกรุงดามัสกัส อิสราเอลแจ้งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เพียงเมื่อเครื่องบินของตนกำลังบินอยู่ในอากาศแล้วระหว่างทางไปซีเรีย
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยอมรับว่า ไม่ทราบมาก่อนเรื่องอิสราเอลจะทำการโจมตีทางอากาศนี้ โดยไม่กี่นาทีก่อนที่มันจะเกิดขึ้นและเมื่อเครื่องบินของอิสราเอลขึ้นบินแล้ว อิสราเอลติดต่อเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เพื่อบอกว่าพวกเขากำลังดำเนินการโจมตีในซีเรีย โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดใดๆ ว่าพวกเขากำหนดเป้าหมายไปที่ใคร หรือจะดำเนินการที่ไหน และการโจมตีได้ดำเนินไปแล้วก่อนที่จะมีการส่งต่อข่าวผ่านรัฐบาลสหรัฐฯ
ในวันที่ 11 เม.ย. 2567 แมทธิว มิลเลอร์ (Matthew Miller) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า แอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกี จีน และซาอุดีอาระเบีย เพื่อกระตุ้นให้พวกเขากดดันอิหร่านไม่ให้เพิ่มความขัดแย้งในตะวันออกกลางภายหลังที่อิหร่านขู่อิสราเอล
มิลเลอร์กล่าวว่า สหรัฐฯ ได้มีส่วนร่วมกับพันธมิตรและหุ้นส่วนในยุโรปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อส่งข้อความที่คล้ายกันเกี่ยวกับอิหร่าน ขณะที่ แอนนาเลนา แบร์บ็อค (Annalena Baerbock) รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี และเดวิด คาเมรอน (David Cameron) รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ต่างได้พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จำกัดการเดินทางของเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ในอิสราเอล ภายหลังอิหร่านข่มขู่อิสราเอลต่อสาธารณะ โดยมีคำเตือนจากสถานทูตสหรัฐฯ ในอิสราเอล เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2567
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส ออกประกาศเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2567 เตือนประชาชนงดเดินทางไปอิหร่าน เลบานอน อิสราเอลและปาเลสไตน์ รวมถึงไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงเรื่องการยกระดับปฏิบัติการทางทหาร ขณะที่ครอบครัวของเจ้าหน้าที่ทูตในอิหร่านจะถูกส่งตัวกลับฝรั่งเศส
ขอบคุณเรื่องจาก
https://edition.cnn.com/2024/04/12/politics/white-house-iran-threat-israel/index.html
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/politic/798955 นายกฯสั่งแจ้งเตือนคนไทย ติดตามสถานการณ์‘อิสราเอล-อิหร่าน’อย่างใกล้ชิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี