วันพฤหัสบดี ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ต่างประเทศ
ฉากชีวิต 9 ทศวรรษ ‘เจ.โฮเวิร์ด มาร์แชลล์’มหาเศรษฐีมะกัน ก่อนถึง 14 เดือนสุดท้าย

ฉากชีวิต 9 ทศวรรษ ‘เจ.โฮเวิร์ด มาร์แชลล์’มหาเศรษฐีมะกัน ก่อนถึง 14 เดือนสุดท้าย

วันจันทร์ ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2567, 16.02 น.
Tag : เจโฮเวิร์ดมาร์แชลล์ มหาเศรษฐีมะกัน
  •  

"เจ.โฮเวิร์ด มาร์แชลล์"อาจารย์-นักกฎหมาย-มหาเศรษฐี ฉากชีวิต 9 ทศวรรษ ก่อนถึง 14 เดือนสุดท้าย

“ในเดือนตุลาคม 2534 เจ้าพ่ออุตสาหกรรมน้ำมันวัย 86 ปีถูกเข็นเข้าไปในคลับเปลื้องผ้าในฮูสตัน ซึ่งเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานกะกลางวัน ชายวัย 80 คนนี้ชื่อ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ และเขามีทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนผู้หญิงคนนั้นคือแอนนา นิโคล สมิธ นางแบบสาววัย 23 ปี ทั้งคู่ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น และในวันรุ่งขึ้น มาร์แชลล์ก็มอบซองเงินสด 1,000 ดอลลาร์ให้กับสมิธและบอกกับเธอว่า "อย่าไปทำงานนะที่รัก คุณไม่จำเป็นต้องกลับไปทำงานอีก"


ที่เหลือก็เป็นเรื่องราวในอดีต มาร์แชลล์มอบของขวัญราคาแพงให้กับสมิธมากมาย รวมถึงรถยนต์เมอร์เซเดสเปิดประทุนสีแดง สิทธิ์เข้าใช้บังกะโลที่เคยเป็นของมาริลีน มอนโร และเครื่องประดับมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ และไม่นานหลังจากที่สมิธมีชื่อเสียงในฐานะนางแบบเพลย์บอย ทั้งคู่ก็แต่งงานกันในปี 2537 แต่ชีวิตคู่ของพวกเขาก็มีความสุขได้เพียง 14 เดือนก่อนที่มาร์แชลล์จะเสียชีวิต”

โพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก “True Crime” ในวันที่ 24 ส.ค. 2567 หรือครบรอบ 3 ทศวรรษจากข่าวความสัมพันธ์ระหว่างมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ (J. Howard Marshall) ที่บั้นปลายของชีวิตได้แต่งงานกับ แอนนา นิโคล สมิธ (Anna Nicole Smith) ซึ่งอายุของทั้งคู่ห่างกันยิ่งกว่าพ่อกับลูก แต่เป็น “ปู่กับหลาน” โดย มาร์แชลล์ เข้าสู่วัยเลข 8 ในขณะที่ สมิธเพิ่งอายุหลัก 2 ต้นๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องราวไม่ได้จบเพียงการเสียชีวิตของมหาเศรษฐีชรา เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2538 แต่ยังมีการฟ้องร้องแย่งชิงสิทธิการได้รับมรดกที่เจ้าตัวทิ้งไว้ด้วย

เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ หรือชื่อเต็มคือ เจมส์ โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ที่ 2 (James Howard Marshall II) เกิดเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2448 ในย่านเยอรมันทาวน์ เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่มีความเชื่อแบบ “เควกเกอร์ (Quaker)” ซึ่งเป็นสายย่อยสายหนึ่งในศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ มาร์แชลล์ เข้าเรียนที่โรงเรียนจอร์จ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมเอกชนในเมืองนิวทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนีย จากนั้นจึงศึกษาศิลปะศาสตร์ที่วิทยาลัยฮาเวอร์ฟอร์ด และด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล จนจบการศึกษาในปี 2474

เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ นั้นโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียน-นักศึกษา เป็นทั้งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน เป็นกัปตันทีมโต้วาที เป็นนักฟุตบอลระดับออลอเมริกัน ลงแข่งขันเทนนิสภายใต้การฝึกสอนของ บิล ทิลเดน (Bill Tilden) นักกีฬาชื่อดังในยุคนั้น เป็นบรรณาธิการคดีของวารสารกฎหมายของมหาวิทยาลัยเยล จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2  อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของ วอลตัน เฮล แฮมิลตัน (Walton Hale Hamilton) นักวิชาการด้านกฎหมายชาวอเมริกัน ผู้บุกเบิกการสอนร่วมกันระหว่างวิชากฎหมายและเศรษฐศาสตร์

ชีวิตการทำงานของ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ เริ่มต้นจากการเป็นอาจารย์และรองคณบดีที่โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยเยลในทันทีตั้งแต่ปี 2474 สอนวิชาว่าด้วยกระบวนการทางธุรกิจและการเงิน และมีผลงานทางวิชาการแนวสมจริงทางกฎหมาย (Legal Realism) โดยเฉพาะบทความ Legal Planning of Petroleum Production ที่ตีพิมพ์ในปี 2474 เนื้อหาว่าด้วยการนำเสนอทางเลือกอื่นให้กับแนวทางปฏิบัติด้านการผลิตแบบควบคุมที่ใช้กันทั่วไปในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่งนำไปสู่วัฏจักรขาขึ้น-ขาลงที่รุนแรง ทำให้เขาเริ่มถูกจับตามองโดยรัฐบาลสหรัฐฯ

หลังจากสอนหนังสือได้ 2 ปี เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ลาออกจากมหาวิทยาลัยเยลในปี 2476 เพื่อไปเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษากฎหมายประจำกระทรวงมหาดไทยของสหรัฐฯ ตามคำชักชวนของ แฮโรลด์ เอล. อิคส์ (Harold L. Ickes) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น และได้มีส่วนร่วมในการออกแบบร่างกฎหมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในสหรัฐฯ ก่อนจะลาออกในปี 2478 เพื่อไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับ เคนเน็ธ อาร์. คิงส์บิวรี (Kenneth R. Kingsbury) ประธานบริษัท Standard Oil of California ซึ่งปัจจุบันคือ “เชฟรอน” (Chevron Corporation)

เส้นทางของ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ แม้จะไปๆ มาๆ ระหว่างงานในภาครัฐบ้าง ภาคเอกชนบ้าง แต่อยู่ในสายงานบริหารและการวางระบบกฎหมาย-กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมมาโดยตลอด รวมถึงการร่วมก่อตั้งบริษัท Great Northern Oil ขึ้นมาในปี 2495 และเริ่มสร้างโรงกลั่นแห่งแรกในปี 2498 ก่อนจะกลายมาเป็นเจ้าของ Koch Industries หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมการผลิต การกลั่น และการจัดจำหน่ายปิโตรเลียม สารเคมี พลังงาน ไฟเบอร์ สารตัวกลางและพอลิเมอร์ แร่ธาตุ ปุ๋ย เยื่อกระดาษและกระดาษ อุปกรณ์เทคโนโลยีเคมี คลาวด์คอมพิวติ้ง การเงิน การซื้อขายวัตถุดิบ และการลงทุน

มหาเศรษฐีผู้นี้ผ่านการแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง โดยภรรยาคนแรกคือ เอลีนอร์ เพียร์ซ (Eleanor Pierce) ใช้ชีวิตร่วมกันตั้งแต่ปี 2474 ก่อนจะหย่าร้างกันในปี 2504 โดยทั้งคู่มีลูกชาย 2 คน คือ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ที่ 3 (J. Howard Marshall III) และ อี. เพียร์ซ มาร์แชลล์ ( E. Pierce Marshall) จากนั้นในปี 2504 ได้แต่งงานกับภรรยาคนที่ 2 คือ เบ็ตตี โบแฮนนอน (Bettye Bohannon) ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ 30 ปี แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ก่อนที่ โบแฮนนอน จะเสียชีวิตในปี 2534 หลังทนทุกข์ทรมานจากโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) ก่อนที่จะแต่งงานกับภรรยาคนที่ 3 คือ แอนนา นิโคล สมิธ ในปี 2537 เวลานั้นฝ่ายชายอายุ 89 ปี ส่วนฝ่ายหญิงอายุ 26 ปี แต่อยู่กินกันได้เพียงปีเศษๆ ฝ่ายชายก็เสียชีวิต

อนึ่ง ในปี 2525 เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ หรือ เจมส์ โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ที่ 2 ได้พบกับ ไดแอน วอล์กเกอร์ (Diane Walker) ซึ่งเป็นการพบกันแบบเดียวกับ แอนนา นิโคล สมิธ คือฝ่ายชายไปเจอฝ่ายหญิงในคลับเปลื้องผ้าแล้วรู้สึกถูกชะตา โดยมหาเศรษฐีผู้นี้ ซื้อของขวัญให้กับ วอล์กเกอร์ เป็นเครื่องประดับต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐ และรับปากว่าหาก เบ็ตตี โบแฮนนอน ภรรยาของเขาในเวลานั้นที่เริ่มป่วยความจำเสื่อมเสียชีวิตเมื่อใด ก็จะมาขอวอล์กเกอร์แต่งงาน อย่างไรก็ตาม การแต่งงานไม่ได้เกิดขึ้น กระทั่งในปี 2538 ปีเดียวกับที่ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ เสียชีวิต ไดแอน วอล์กเกอร์ ในวัย 51 ปี ก็เสียชีวิตเช่นกัน ด้วยภาระแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดดึงหน้า

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในหน้าที่การงาน กลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ชีวิตครอบครัวของ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ หรือ เจมส์ โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ที่ 2 ดูจะตรงกันข้าม ความขัดแย้งกับ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ที่ 3 บุตรคนโต ทำให้ผู้เป็นพ่อตัดสิทธิ์ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ที่ 3 ออกจากกองมรดก โดยยกสมบัติเกือบทั้งหมดซึ่งรวมมูลค่าถึง 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับ อี. เพียร์ซ มาร์แชลล์ บุตรคนเล็ก อย่างไรก็ตาม อี. เพียร์ซ มาร์แชลล์ ก็เสียชีวิตในวันที่ 20 มิ.ย. 2549 นำไปสู่ความพยายามของทั้ง กับ เจ. โฮเวิร์ด มาร์แชลล์ ที่ 3 และ แอนนา นิโคล สมิธ ในการต่อสู้คดีความเพื่อให้มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งในกองมรดกนั้น ก่อนจะจบลงด้วยทั้งคู่เป็นฝ่ายแพ้

- 006

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

หายใจก็ผิด!รองเลขาธิการนายกฯพ้อ‘แพทองธาร’โดนมุ่งดิสเครดิต

เปิดคำวินิจฉัย! กกต.ยกคำร้อง เลือก สว.ระดับจังหวัดบุรีรัมย์ ฮั้ว

สภา กทม.หารือ อบจ.ฉะเชิงเทรา แก้ปัญหาทิ้งขยะลงแม่น้ำ-ปล่อยน้ำเสียจากโรงงาน

รบกันทั้งคืน! 'ทหารเมียนมา-กะเหรี่ยง'ปะทะเดือด 'ผบ.ฉก.ราชมนู'สั่งเข้มชายแดนไทย 24 ชม.

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved