26 เม.ย. 2568 สำนักข่าวออนไลน์ VietNamNet สื่อในกำกับดูแลของกระทรวงข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารของเวียดนาม เสนอรายงานพิเศษ Vietnam rises as Southeast Asia’s go-to for Indian tourists ระบุว่า เวียดนามมีศักยภาพจะแข่งขันกับไทยในการดึงดูดให้ชาวอินเดียเดินทางมาท่องเที่ยวได้ โดยอ้างบทความจาก นสพ.The Economic Times ของอินเดีย ที่เผยแพร่เมื่อเดือน มี.ค. 2568 ซึ่งชี้ว่า ปัจจุบันเวียดนามได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมากกว่าจุดหมายปลายทางอื่นๆ ในภูมิภาค
บทความของสื่ออินเดีย ระบุว่า ชาวอินเดียกระเป๋าหนักกำลังมองหาประสบการณ์หรูหราใหม่ๆ นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น ภูเก็ตและเกาะสมุยของไทย หรือประเทศอย่างญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ การต้อนรับแบบหรูหรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในเมืองชายหาดของเวียดนาม ดึงดูดเศรษฐีจากแดนภารตะที่จัดงานแต่งงานหรูหราประมาณ 5,000 งานต่อปี โดยแต่ละงานมีงบประมาณตั้งแต่ 250,000 - 500,000 เหรียญสหรัฐ (8.5 – 17 ล้านบาท) ซึ่งแม้ตลาดจะแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่รีสอร์ทในเวียดนามก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของตนแล้ว
โรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay เป็นเจ้าภาพจัดงานแต่งงานของ Rushang Shah มหาเศรษฐีชาวอินเดียในปี 2562 และจัดงานเฉลิมฉลองสุดอลังการของคู่รักมหาเศรษฐีอีกคู่หนึ่งในช่วงต้นปี 2567 ในไม่ช้านี้ ฟูก๊วกจะต้อนรับแบรนด์สุดหรูอย่าง The Luxury Collection และ Ritz Carlton Reserve ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ยังไม่มีให้เห็นในจุดหมายปลายทางในภูมิภาคทุกแห่ง
เกาะฟูก๊วกยังคงสร้างความประทับใจให้กับแขกชาวอินเดียด้วยการผสมผสานระหว่างความหรูหราทันสมัยและประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ส่วนทางตอนใต้ของเกาะเป็นที่ตั้งของ Sun Paradise Land ซึ่งเป็นย่านบันเทิงระดับโลกที่มีการแสดงมัลติมีเดีย Kiss of the Sea (เจ้าของสถิติโลกกินเนสส์บุ๊ก) พลุยามค่ำคืน กระเช้าลอยฟ้าสามสายที่ยาวที่สุดในโลก และสะพาน Kiss Bridge อันโด่งดัง โดย Rohan Khanna นักท่องเที่ยวชาวอินเดียจากกรุงนิวเดลี กล่าวว่า เกาะฟูก๊วกมีเซอร์ไพรส์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งกระเช้าลอยฟ้าตอนเช้าเหนือทะเล พลุยามค่ำคืน ซึ่งตนไม่เคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้มาก่อน
นอกจากเกาะฟูก๊วกแล้ว อ่าวฮาลองยังกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับงานสำคัญต่างๆ ของอินเดีย ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์กในปี 2567 ครอบครัวชาวอินเดียที่มีฐานะร่ำรวยจำนวนมากขึ้นเริ่มเลือกฮาลองและเกาะฟูก๊วกเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานและงานเฉลิมฉลอง ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับกิจกรรมหรูหราของทวีปเอเชีย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อาหารมีบทบาทสำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ด้วยความหลากหลายของอาหารในอินเดียและความชอบด้านอาหารที่เข้มงวด จุดหมายปลายทางที่สามารถรองรับมาตรฐานฮาลาลหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงได้รับความนิยม ซึ่งเวียดนามได้ตอบรับความต้องการนี้ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น Sun World Ba Na Hills (ดานัง) และ Sun World Fansipan Legend (ซาปา) มีตัวเลือกที่ได้รับใบรับรองฮาลาลหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว การเข้าถึงได้นี้ควบคู่ไปกับความเข้ากันได้ทางวัฒนธรรมทำให้ผู้เดินทางชาวอินเดียกลับมาอีกครั้ง
การมาถึงของมิชลินไกด์ในเวียดนามเมื่อปี 2566 ทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ด้านอาหารมากยิ่งขึ้น นักท่องเที่ยวชาวอินเดียซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความรักในการสำรวจวัฒนธรรมผ่านอาหารได้ให้ความสนใจ ดานังซึ่งรวมอยู่ในการขยายตัวของมิชลินไกด์ ในปี 2567 พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเพิ่มขึ้น โดยปีดังกล่าวดานังต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 222,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 5.3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเกือบครึ่งหนึ่งที่เดินทางไปเวียดนามเลือกดานังเป็นจุดหมายหลัก ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียชื่นชอบมากที่สุด อนึ่ง อาหารทะเลราคาไม่แพงและอาหารท้องถิ่นยิ่งทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคแล้ว อาหารเวียดนาม โดยเฉพาะในเมืองชายหาดอย่างดานังและฟูก๊วก ถือว่าคุ้มค่ามาก สื่อท้องถิ่นบางสำนักของไทยเองก็ยังระบุด้วยว่าอาหารทะเลในฟูก๊วกมีราคาประมาณครึ่งหนึ่งของราคาอาหารทะเลในประเทศไทย
เครือข่ายเที่ยวบินตรงที่เติบโตขึ้นของเวียดนามเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ชาวอินเดียสนใจ ปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงระหว่างสองประเทศประมาณ 56 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยในปี 2567 เพียงปีเดียว ดานังได้เปิดตัวเส้นทางใหม่หลายเส้นทาง รวมถึงบริการเที่ยวบินสัปดาห์ละสองครั้งจากอาห์มดาบาดที่เปิดตัวในเดือนตุลาคม ซึ่งขยายการเข้าถึงนอกกรุงนิวเดลี
Sandeep Arya เอกอัครราชทูตอินเดียประจำเวียดนาม เปิดเผยว่า หน่วยงานการบินของทั้ง 2 ประเทศกำลังวางแผนที่จะเพิ่มเส้นทางอีก 14 เส้นทางที่เชื่อมต่อนิวเดลี เชนไน และมุมไบไปยังเมืองต่างๆ ในเวียดนาม อินเดียยังสนับสนุนให้สายการบินต่างๆ เช่น Vietnam Airlines, Vietjet และ IndiGo ขยายการบินด้วย ขณะข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติของเวียดนาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวเวียดนามในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 มีมากกว่า 6 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยในจำนวนนี้มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมากกว่า 143,000 คน ซึ่งถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 2 หลัก ซึ่งตลอดทั้งปี 2567 ที่ผ่านมา เวียดนามได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมากกว่า 500,000 คน ทำให้อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีที่สุดของเวียดนาม ด้วยราคาที่มีการแข่งขันสูง จุดหมายปลายทางที่เป็นสัญลักษณ์ ที่พักอันหรูหรา การรับประทานอาหารที่ปรับแต่งได้ และการเชื่อมต่อที่ได้รับการปรับปรุง ทำให้เวียดนามมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในปี 2568
สำหรับบทความที่สื่อเวียดนามอ้างถึงคือ Move over Thailand, fastest-growing Vietnam is India’s new travel playground เผยแพร่ทาง นสพ.The Economic Times ของอินเดีย เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2568 ระบุว่า ปัจจุบัน เวียดนามได้กลายมาเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาค โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 17.5 ล้านคนในปี 2567 แซงหน้าสิงคโปร์ โดยเวียดนามเป็นรองเพียงมาเลเซียซึ่งมีนักท่องเที่ยว 25 ล้านคน และไทยซึ่งยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปเยือน 35 ล้านคน
ตัวเลขดังกล่าวยังทำให้เวียดนามซึ่งเรียกอีกอย่างว่าดินแดนมังกรผงาด เป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดย 5 ปีหลังจากที่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้การเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก เวียดนามได้ฟื้นคืนธุรกิจการท่องเที่ยวเมื่อเทียบกับช่ววก่อนเกิดโรคระบาดได้ถึงร้อยละ 98 แซงหน้าเพื่อนบ้านทั้งหมด รวมถึงไทย (ร้อยละ 87.5) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 86) การเติบโตดังกล่าวไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลง ตามข้อมูลของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 4 ล้านคนเดินทางไปเวียดนามในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เวียดนามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เหตุผลสำคัญประการหนึ่งคือการเดินทางที่สะดวกขึ้น เที่ยวบินตรงระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนามเป็นครั้งแรกเปิดตัวโดย Vietnam Airlines ในปี 2564 โดยเชื่อมระหว่างซานฟรานซิสโกกับโฮจิมินห์ซิตี้ จากนั้นในปี 2566 เวียดนามได้นำนโยบายวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ใหม่มาใช้ โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวอยู่ได้นานถึง 90 วัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า อีกทั้งยังขยายรายชื่อประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งขณะนี้ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลีใต้ และสเปน และคาดว่าจะมีการเพิ่มประเทศอื่นๆ อีก
ในเวลาเดียวกัน เวียดนามยังได้เห็นแบรนด์โรงแรมชั้นนำหลั่งไหลเข้ามา โดยโรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ Regent Phu Quoc, Capella Hanoi และ JW Marriott Hotel & Suites Saigon ในขณะที่โรงแรมใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวจาก Luxury Collection, Ritz-Carlton Reserve และ Park Hyatt กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง การขยายตัวของคู่มือมิชลินในปี 2567 ยังทำให้วงการอาหารของเวียดนามได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมากขึ้น ทำให้เวียดนามเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งสำหรับนักเดินทางระดับหรูที่เคยไปเยือนจุดหมายปลายทางอย่างเกาะสมุยและภูเก็ตของประเทศไทย หรือกำลังมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์
การเปิดตัวโรงแรม Radisson Blu ในเมืองฮอยอัน เมืองชายฝั่งทะเลยอดนิยมที่อยู่ห่างจากเมืองดานังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียให้ความสนใจ เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่และการเดินทางที่สะดวก ทำให้เมืองนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม
เวียดนามมีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยมีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมากกว่า 500,000 คนเดินทางมาเยือนในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 297 จากระดับก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สถานที่จัดงานแต่งงานที่หรูหราที่สุด ได้แก่ ฟูก๊วกและฮาลอง ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ขั้นตอนการขอวีซ่าที่ง่ายขึ้นและเที่ยวบินตรงจากอินเดียเพิ่มเติมทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดานังได้ตอกย้ำสถานะของตนในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของอินเดีย ในปี 2567 ดานังต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 222,000 คน คิดเป็นร้อยละ 5.3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเกือบร้อยละ 50 ที่เดินทางมาเวียดนามเลือกดานังเป็นจุดแวะพักหลัก จำนวนนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เดินทางมาดานังเพิ่มขึ้นมากกว่า 13.5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 และตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวชาวอินเดียยังคงเป็น 1 ใน 5 ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติลำดับต้นๆ ของเมือง
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับหรูของเวียดนามก็ได้รับประโยชน์จากการเติบโตนี้เช่นกัน สื่ออินเดียอ้างรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ที่อ้างคำพูดของ Mike Nguyen ผู้ก่อตั้ง Ansova Travel ซึ่งเป็นบูติกท่องเที่ยวระดับหรูในโฮจิมินห์ ที่เปิดเผยว่า บริษัทของตนมีการจองจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด และคาดว่าการจองจะเติบโตอีกร้อยละ 20-30 ในปี 2568 และแม้ลูกค้าส่วนใหญ่ของตนจะมาจากสหรัฐฯ แต่ก็สังเกตเห็นว่าครัวเรือนฐานะร่ำรวยในอินเดียก็ให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นด้วย
กงสุลใหญ่เวียดนาม Le Quang Bien ซึ่งเดินทางเยือนอินเดียเมื่อไม่นานนี้ กล่าวถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง 2 ประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เพิ่มขึ้นว่า ขณะนี้เวียดนามเสนอวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ให้กับนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย และกำลังพิจารณานโยบายวีซ่าใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวจากอินเดียและประเทศอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ มีศักยภาพมากมายสำหรับการท่องเที่ยวจากอินเดียไปยังเวียดนาม เนื่องมาจากประชากรอินเดียจำนวนมาก ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แน่นแฟ้นมาก และเวียดนามให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจากอินเดียซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน สายการบินราคาประหยัดของเวียดนาม Vietjet Air ได้เปิดตัวโปรโมชั่นพิเศษ โดยเสนอตั๋วโดยสารในราคาประหยัดเพียง 11 รูปีสำหรับผู้โดยสารชั้นประหยัด ข้อเสนอนี้ใช้ได้กับเส้นทางบินหลายเส้นทาง รวมถึงเที่ยวบินจากอินเดียไปยังเมืองใหญ่ๆ ของเวียดนาม และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นความสนใจในการเดินทางได้มากขึ้น
สื่ออินเดียยังรายงานด้วยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชาวอินเดียเท่านั้น เวียดนามยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีนที่ใช้จ่ายสูงได้มากขึ้นด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาความปลอดภัยหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีน หวังซิง (Wang Xing หรือซิงซิง) ในกรุงเทพฯ ที่ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง โดยเวียดนามตั้งเป้าอย่างทะเยอทะยานไว้สำหรับปี 25685 และต่อๆ ไป โดยมีเป้าหมายที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 23 ล้านคนภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งทำลายสถิติเดิมได้
ภายในเดือน มี.ค. 2569 สนามบินนานาชาติลองถันแห่งใหม่ใกล้กับนครโฮจิมินห์เตรียมเปิดให้บริการ ทำให้เวียดนามสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ 25 ล้านคน และเมื่อมองไปข้างหน้า เป้าหมายระยะยาวของเวียดนามคือการแซงหน้ามาเลเซีย ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยือนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน โดยจะเป็นรองไทยเพียงชาติเดียวเท่านั้น ด้วยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง ภาคส่วนการบริการที่ขยายตัว และนโยบายวีซ่าที่ได้รับการปรับปรุง เวียดนามจึงพร้อมที่จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
https://vietnamnet.vn/en/vietnam-rises-as-southeast-asia-s-go-to-for-indian-tourists-2395282.html
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี