1 พ.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump struggles to explain weak economic data as he reaches 100-day mark ระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กล่าวเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 แนะนำให้ประชาชนอดทน โยนความผิด และอ้างชัยชนะ ท่ามกลางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่หดตัวในไตรมาสแรกของปี 2568 และมาตรการกำแพงภาษี หรือการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ลดทอนคะแนนนิยม โดยทรัมป์อ้างว่าการฟื้นตัวกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ล่วงหน้าของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เผยแพร่ในวันที่ 30 เม.ย. 2568 ชี้ให้เห็นถึงการลดลงในไตรมาสแรกเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เนื่องจากธุรกิจนำเข้าสินค้าจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีศุลกากรที่รออยู่ของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางคนชี้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและการลงทุนภาคเอกชน เป็นสัญญาณว่าเร็งๆ นี้การเติบโตอาจฟื้นตัวได้
ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน และผู้ช่วยของเขาต่างพยายามหาข้อสรุปเกี่ยวกับตัวเลข GDP โดยกล่าวว่าตัวเลขที่ไม่ดีมาจากการบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ยุคของ โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีคนก่อนหน้าจากพรรคเดโมแครต ในขณะที่ตัวเลขส่วนที่ดีนั้นมาจากการบริหารในยุคของทรัมป์ โดยทรัมป์กล่าวกับสื่อว่า ตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการบิดเบือนจากการนำเข้า สินค้าคงคลัง และการใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีผลต่อการคำนวณ GDP แต่ได้ยินดีกับการพุ่งสูงขึ้นของการลงทุนทางธุรกิจ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่าเกิดจากการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร
‘เรามีตัวเลขที่แม้จะได้รับมาอย่างไร เราก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ และเราก็พลิกสถานการณ์กลับมาได้จริงๆ’ ทรัมป์กล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งใช้เวลา 2 ชั่วโมงและมีการถ่ายทอดสด
ก่อนหน้านี้ ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาทางการค้าของทรัมป์ กล่าวว่า ตัวเลข GDP ถือเป็นตัวเลขเชิงลบที่ดีที่สุดเท่าที่ตนเคยเห็นมาในชีวิต และตัวเลขนี้ควรจะเป็นข่าวดีสำหรับอเมริกาจริงๆ และยังไม่เห็นด้วยกับตัวเลข GDP โดยระบุว่าตัวเลขนี้ลดลงเนื่องจากธุรกิจต่างๆ ต่างซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อเลี่ยงภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของทรัมป์บนสื่อสังคมออนไลน์ ว่าภาษีศุลกากรไม่ได้มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำ
คำอธิบายที่แตกต่างกันนี้เกิดขึ้นในขณะที่ทรัมป์ก้าวข้ามหลักชัยเชิงสัญลักษณ์ของการดำรงตำแหน่งครบ 100 วัน และการสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้นต่อการจัดการเศรษฐกิจของพรรครีพับลิกัน โดยผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอส ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2568 แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 42 เห็นด้วยกับผลงานของทรัมป์ในตำแหน่ง และร้อยละ 53 ไม่เห็นด้วย อัตราการอนุมัติอยู่ที่ร้อยละ 47 ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568
สัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่เห็นด้วยกับการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ลดลงร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 36 จากสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในวาระปัจจุบันของเขา หรือแม้แต่เทียบกับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของทรัมป์ในปี 2560 -2563 ขณะที่การไม่เห็นด้วยเพิ่มขึ้น 5 จุดเป็นร้อยละ 56 ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากทรัมป์ได้เปิดฉากสงครามการค้าโลก โดยขึ้นภาษีศุลกากรที่สูงมากจนนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการค้ากับบางประเทศ โดยเฉพาะจีน อาจหยุดชะงักลงได้ การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้บรรดานักลงทุนและบริษัทต่างๆ สั่นคลอน
นักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนบางคนมองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไตรมาสแรกเป็นความรับผิดชอบของทรัมป์ ไม่ใช่ของอดีต ปธน.ไบเดน เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศขยายตัวในอัตราเฉลี่ยต่อปีประมาณร้อยละ 2.9 ต่อไตรมาสในช่วงครึ่งหลังของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของไบเดน และบางคนมองว่าขณะนี้กำลังเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
โจเซฟ บรูซูเอลาส (Joseph Brusuelas) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทที่ปรึกษา RSM US LLP กล่าวว่า สถานการณ์จะไม่พลิกกลับเพราะคุณสมบัติภายในของเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้เกิดจากนโยบาย ดังนั้น หากไม่ยกเลิกภาษีศุลกากรโดยเร็ว ก็สายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งหมายถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะเริ่มประมาณกลางปี
อีกด้านหนึ่ง พรรคเดโมแครตไม่ปล่อยโอกาสในการโจมตีทรัมป์ โดยเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 ฮาคีม เจฟฟรีส์ (Hakeem Jeffries) หัวหน้ากลุ่มเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่า นี่คือเศรษฐกิจของทรัมป์ เป็นเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และคนอเมริกันก็รู้ดี
ในวันเดียวกัน ทรัมป์ได้กล่าวโทษไบเดนว่าทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำ แต่ต่อมาก็ได้กล่าวอีกว่าตนไม่ได้ให้เครดิตหรือกล่าวโทษให้กับผลงานของตลาด ขณะที่ในระหว่างการประชุม ครม. ที่ยาวนาน ผู้ช่วยหลายคนของทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ อาทิ สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่า ครัวเรือนชาวอเมริกันกำลังกลับมามีฐานะทางการเงินอีกครั้ง และทรัมป์จะทำให้ประเทศนี้กลายเป็นมหาอำนาจด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการผลิต
รมว.คลังสหรัฐฯ ยังกล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ กำลังมีอัตราจำนอง ต้นทุนอาหาร และราคาพลังงานที่ลดลง ทั้งนี้ ข้อมูลของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ พบว่า อัตราจำนอง 30 ปีซึ่งเป็นมาตรฐานนั้นเกือบจะเท่ากับตอนที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2567 ขณะที่ราคาอาหารเพิ่มขึ้นในอัตราต่อปีที่ร้อยละ 3 แต่ราคาพลังงานนั้นลดลงในอัตราเดียวกัน
ขอบคุณเรื่องจาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/879018 เรตติ้งตก! โพลเผยชาวมะกันเริ่มไม่ปลื้ม‘ทรัมป์’วอนอย่าลงชิงเก้าอี้ปธน.สมัยที่3
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี