8 พ.ค. 2568 นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง รายงานข่าว India-Pakistan conflict puts Asia’s rice supplies at risk of trade turmoil, rising prices ระบุว่า ความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นการสู้รบกันระหว่างอินเดียกับปากีสถาน อาจกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของหลายประเทศในทวีปเอเชีย เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก เช่นเดียวกับปากีสถานที่อยู่ในอันดับ 4 ของโลก
นอกจากข้าวแล้ว อินเดียและปากีสถานยังส่งออกหัวหอมและอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นให้กับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างคู่แข่งทั้ง 2 ชาติ ที่ต่างก็ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ อาจส่งผลให้อุปทานที่สำคัญเหล่านี้ลดลงหรือทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น โดยมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียมีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะเกิดการหยุดชะงักทางการค้า
โมฮัมหมัด ซาบู (Mohamad Sabu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและความมั่นคงทางอาหารของมาเลเซีย ได้ออกมาเตือนเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 ว่า หากความขัดแย้งลุกลามไปยังท่าเรือและสถานที่ทางการค้า มาเลเซียก็จะต้องหันไปหาข้าวจากแหล่งอื่น โดยเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของอินเดียกับปากีสถานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางอาหารในมาเลเซีย หากเกิดสงครามหรือความตึงเครียดที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของท่าเรือหรือโครงสร้างพื้นฐานในการขนส่ง การนำเข้าข้าวมายังมาเลเซียอาจได้รับผลกระทบ
ข้าวเป็นอาหารหลักของประชากรในอาเซียน โดยมีอัตราการบริโภคต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 150 กิโลกรัม (330 ปอนด์) ต่อปี ลาวและกัมพูชาเป็นประเทศที่ผู้บริโภคข้าวมากที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยบริโภคข้าวต่อคนเกิน 230 กิโลกรัม ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียบริโภคข้าวต่อคนมากกว่า 120 กิโลกรัม
อย่างไรก็ตาม มาเลเซียผลิตข้าวได้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการภายในประเทศเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น โดยต้องพึ่งพาการนำเข้าเพื่อครอบคลุมส่วนที่เหลือ ซึ่งมากกว่าร้อยละ 40 ของการนำเข้าเหล่านี้มาจากอินเดียและปากีสถาน รองลงมาคือเวียดนาม ไทยและกัมพูชา ซึ่งในวันที่ 8 พ.ค. 2568 อาร์เธอร์ โจเซฟ คูรูป (Arthur Joseph Kurup) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและความมั่นคงทางอาหารของมาเลเซีย เปิดเผยว่า มาแลซียมีสต็อกข้าวสำรองเพียงพอที่จะรองรับความต้องการได้นานกว่า 6 เดือน
แต่การหยุดชะงักใดๆ ก็ตามมีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาข้าวตกต่ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ราคาข้าวที่พุ่งสูงของอินเดียได้เปลี่ยนโฉมตลาดข้าวโลก ท้าทายผู้ส่งออกคู่แข่งอย่างไทยและเวียดนามให้พยายามแข่งขันกับราคาข้าวของอินเดียที่ถูกกว่า โดยปัจจุบันราคาข้าวซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 390 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยคาดว่าจะผันผวนอยู่ที่ 10 เหรียญสหรัฐในช่วงที่เหลือของปี
ตามการเปิดเผยของ ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ (Chookiat Ophaswongse) นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย พบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2568 การส่งออกข้าวของไทยลดลง 1 ใน 3 เหลือ 2.1 ล้านตัน เนื่องจากผู้ซื้อหันไปซื้อข้าวอินเดียที่ราคาถูกกว่า ขณะที่ตลอดทั้งปี ไทยคาดว่าการส่งออกข้าวจะลดลงร้อยละ 24 เหลือ 7.5 ล้านตัน ส่วนเวียดนามคาดว่าการส่งออกจะลดลงร้อยละ 17
ราคาข้าวที่ต่ำของอินเดียทำให้ผู้ส่งออกที่แข่งขันกันเหล่านี้เสียเปรียบ ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกลดลง และทำให้การลงทุนในการผลิตในระยะยาวลดน้อยลง ก่อนเกิดความขัดแย้ง สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าราคาข้าวโลกอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี และไม่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ เนื่องจากอินเดียมีข้าวในสต็อกจำนวนมาก โดย บี.วี.กฤษณะ เรา (B.V. Krishna Rao) ประธานสมาคมผู้ส่งออกข่าวแห่งอินเดีย กล่าวว่า ตนไม่คาดว่าราคาจะดีดตัวขึ้น เนื่องจากอุปทานล้นตลาดอาจทำให้ราคาไม่เพิ่มขึ้น
โดยการส่งออกจากอินเดียจะเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 25 จากปี 2567 เป็น 22.5 ล้านตันในปี 2568 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้มีแนวโน้มที่จะผลักดันให้อินเดียกลับมามีส่วนแบ่งตลาดโลกที่ใหญ่กว่า ซึ่งอยู่ที่มากกว่าร้อยละ 40 ก่อนที่จะจำกัดการส่งออกในปี 2565 โดยแซงหน้ายอดขายรวมของซัพพลายเออร์รายใหญ่ 4 รายถัดไป ได้แก่ ไทย เวียดนาม ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกา
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับมาเลเซีย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาข้าวขาดแคลนในประเทศอยู่แล้ว ข้อกล่าวหาว่ามีขบวนการกักตุนข้าวเพื่อปั่นราคาทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากหันไปซื้อข้าวที่นำเข้าซึ่งมีราคาสูงกว่า ในมาเลเซีย ผลกระทบจากสงครามยูเครนทำให้ราคาไก่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านต้องดิ้นรนหาแหล่งสัตว์ปีกจากต่างประเทศ เช่น บราซิล เพื่อตอบสนองความต้องการข้าวมันไก่ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติ
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี