8 พ.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump heralds 'breakthrough' deal with UK ระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ (Keir Starmer) ร่วมกันประกาศข้อตกลงสำคัญด้านการค้า โดยสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอังกฤษที่อัตราร้อยละ 10 ในขณะที่อังกฤษตกลงที่จะลดภาษีนำเข้าจากร้อยละ 5.1 เหลือร้อยละ 1.8 และให้สิทธิในการเข้าถึงสินค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น

ข้อตกลงที่ทรัมป์ประกาศจากห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาว ถือเป็นข้อตกลงแรกนับตั้งแต่ทรัมป์จุดชนวนสงครามการค้าไปทั่วโลกด้วยการเรียกเก็บภาษีจากคู่ค้าหลายราย หลังจากหวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในสมัยที่ 2 เมื่อเดือน ม.ค. 2568 โดยการหารือผ่านโทรศัพท์ทางไกลกับผู้นำอังกฤษ ทรัมป์ได้กล่าวว่า นี่เป็นการเปิดตลาดมหาศาลให้กับสหรัฐฯ ขณะที่ สตาร์เมอร์ กล่าวว่า นี่เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

สหรัฐฯ อยู่ภายใต้แรงกดดันจากนักลงทุนให้บรรลุข้อตกลงเพื่อลดระดับสงครามภาษี หลังจากนโยบายที่มักจะวุ่นวายของทรัมป์ทำให้การค้าโลกพลิกผันทั้งมิตรและศัตรู คุกคามที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อและทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมการประชุมกับพันธมิตรทางการค้าอย่างคึกคักนับตั้งแต่ทรัมป์กำหนดภาษีนำเข้าร้อยละ 10 กับประเทศส่วนใหญ่เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 พร้อมกับกำหนดอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับพันธมิตรทางการค้าหลายราย ก่อนที่ผู้นำสหรัฐฯ จะสั่งระงับการบังคับใช้ไว้เป็นเวลา 90 วัน

สหรัฐฯ ยังได้เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ เหล็ก และอลูมิเนียมร้อยละ 25 เก็บภาษีจากแคนาดาและเม็กซิโกร้อยละ 25 และเก็บภาษีจากจีนสูงถึงร้อยละ 145 โดยผู้แทนของสหรัฐฯ กับจีนมีกำหนดหารือกันที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 10 พ.ค. 2568 ส่วนสถานการณ์ของอังกฤษ ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังดิ้นรนเพื่อเติบโต มาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับรัฐบาลเมืองผู้ดี อาทิ  Jaguar Land Rover ได้หยุดการขนส่งไปยังสหรัฐฯ เป็นเวลา 1 เดือน และรัฐบาลก็ถูกบังคับให้ยึดการควบคุมของ British Steel เพื่อให้บริษัทยังคงดำเนินงานต่อไป

ในขณะที่พยายามหาข้อตกลงกับสหรัฐฯ อังกฤษปฏิเสธที่จะลดมาตรฐานอาหารซึ่งมีความใกล้ชิดกับสหภาพยุโรป (EU) อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงานด้านการเกษตรของอังกฤษ กล่าวว่า ผู้ผลิตบางรายในสหรัฐฯ ที่ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตหรือน้ำยาล้างที่มีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์อาจได้รับการเข้าถึงตลาดที่มากขึ้น อนึ่ง สถานะของภาษี "พื้นฐาน" ที่อัตราร้อยละ 10 ยังไม่ชัดเจน เช่นเดียวกับภาษีที่คุกคามต่ออุตสาหกรรมยาซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับ AstraZeneca และ GSK ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ

ข่าวเบื้องต้นของการประกาศดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หรูอย่าง Aston Martin พุ่งขึ้นร้อยละ 10 ขณะที่ผู้ค้าปลีกในอังกฤษที่มีการดำเนินงานในสหรัฐฯ รวมถึง JD Sports และ AB Foods เจ้าของบริษัท Primark ก็พุ่งขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ รัฐบาลของสตาร์เมอร์พยายามสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าใหม่ หลังขอแยกตัวจาก EU กับทั้งสหรัฐฯ จีน และ EU โดยไม่ขยับเข้าใกล้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไปจนทำให้กลุ่มอื่นๆ ไม่พอใจ

นักเศรษฐศาสตร์และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FTSE 100 กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจในทันทีจากข้อตกลงภาษีศุลกากรน่าจะจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น แต่ข้อตกลงการค้าโดยทั่วไปจะช่วยให้เติบโตในระยะยาวได้ ซึ่งอังกฤษบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับอินเดียในสัปดาห์นี้ อนึ่ง ยังมีความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ โดยการสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงไม่เป็นที่นิยมอย่างมาก ทำให้การเคลื่อนไหวใดๆ ในการลดภาษีบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง

ภาษีบริการดิจิทัลของอังกฤษ ซึ่งจัดเก็บในอัตราร้อยละ 2 ของรายได้ในอังกฤษสำหรับตลาดออนไลน์ เครื่องมือค้นหา และแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เปิดตัวในปี 2563 เพื่อตอบสนองต่อกระแสต่อต้านการเลี่ยงภาษีของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ประมาณ 800 ล้านปอนด์ (1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในปี 2568 แต่บริษัทต่างๆ เช่น Google และ Amazon กลับผลักภาระต้นทุนดังกล่าวไปยังลูกค้าผ่านค่าธรรมเนียมโฆษณาและค่าธรรมเนียมการขายที่สูงขึ้นตามลำดับ

หนึ่งในซีอีโอที่ขอให้ความเห็นโดยไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ อินเดีย และข้อตกลงอื่นๆ ที่สามารถทำได้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพเศรษฐกิจของอังกฤษในระยะยาว แต่ไม่ควรคาดหวังว่าจะส่งผลให้เกิดความยินดีในชั่วข้ามคืน

ขอบคุณเรื่องจาก

https://www.reuters.com/world/europe/us-britain-expected-announce-tariff-deal-thursday-2025-05-08/

043...