2 มิถุนายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภา ได้แถลงต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะกรรมการร่วมวุฒิสภา โดยประกาศเจตนารมณ์ของกัมพูชาที่จะนำข้อพิพาทชายแดนกับประเทศไทยขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พร้อมทั้งเตือนว่าหากประเทศไทยยังคงหลีกเลี่ยงแนวทางนี้ "ก็ชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง"
ในการแถลงการณ์ที่พนมเปญ นายฮุน เซน กล่าวว่าการเสนอให้ไทยร่วมยื่นคดีต่อศาลโลกเป็น "วิธีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาทางการทูตแก่ราชอาณาจักรเพื่อนบ้านอย่างมีเกียรติ" เขายังได้ชี้ว่าบันทึกความเข้าใจปี 2000 ที่ทั้ง 2 ประเทศเคยลงนามนั้น "ใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว" เนื่องจากเวลาล่วงเลยมาถึง 25 ปีโดยยังไม่มีข้อยุติ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเน้นย้ำถึงการเสียชีวิตของทหารกัมพูชาในการปะทะครั้งล่าสุด ซึ่งตอกย้ำความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา
"หากเราไม่ปล่อยให้ศาลตัดสิน เรื่องนี้ก็จะเหมือนกับกาซาระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลที่ไม่มีวันจบสิ้น มีการสู้รบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ทำไมต้องกลัวการขึ้นศาล ถ้าเราจริงใจ" นายฮุน เซน กล่าวพร้อมตั้งคำถามถึงเจตนาของฝ่ายไทย
นายฮุน เซน ยืนยันว่ากัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะยึดครองดินแดนของประเทศใด และเพียงแต่ต้องการรักษาพรมแดนทางบกที่หลงเหลือจากยุคอาณานิคมฝรั่งเศสและสืบทอดมาภายใต้พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ โดยกล่าวว่ากัมพูชาได้สูญเสียดินแดนไปเป็นจำนวนมากแล้ว และ "สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงหยิบมือเดียวและเราต้องปกป้องมัน"
ในการประชุมครั้งเดียวกัน คณะกรรมาธิการร่วมรัฐสภาและวุฒิสภาได้แสดงการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะนำประเด็นชายแดนขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ นอกจากนี้ นายฮุน เซน ยังระบุว่ากัมพูชาจะยื่นคำร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอให้เข้าแทรกแซงหากเกิดการสู้รบขึ้น
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้กล่าวในการประชุมว่า กัมพูชาตั้งใจแน่วแน่ที่จะนำประเด็นนี้เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าไทยจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยยังคงเดินหน้าเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ต่อไป อย่างไรก็ตาม นายฮุน มาเนต ได้เรียกร้องให้นักการเมืองและประชาชนกัมพูชายืนหยัดเคียงข้างกองทัพ
"นี่คือเวลาที่ประเทศของเราจะต้องร่วมมือกันเตรียมพร้อมที่จะปกป้องประเทศและบูรณภาพแห่งดินแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยืนหยัดเคียงข้างกองกำลังติดอาวุธของเรา ความแตกต่างทางการเมืองสามารถหารือได้ในโอกาสอื่น แต่สิ่งใดก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณและดินแดนของเราควรถูกละทิ้งไป นี่ไม่ใช่เวลาที่จะแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองภายในหรือการต่อต้าน" นายฮุน มาเนต กล่าวเน้นย้ำถึงความสามัคคีของชาติในยามที่ต้องเผชิญกับประเด็นสำคัญนี้
ขอบคุณที่มา : phnompenhpost
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี