3 ก.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump says he will put 20% tariff on Vietnam's exports อ้างการเปิดเผยของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2568 ว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามที่อัตราร้อยละ 20 และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่ 3 ผ่านเวียดนามจะถูกจัดเก็บภาษีอัตราร้อยละ 40 ในทางกลับกับ เวียดนามพร้อมนำเข้าสินค้าจากสหรัฐได้ในอัตราภาษี 0% โดยเวียดนามนั้นอยู่ในอันดับ 10 ของกลุ่มประเทศคู่ค้ารายสำคัญของสหรัฐฯ
ในการสื่อสารแพลตฟอร์ม Truth Social ทรัมป์ โพสต์ข้อความหลังเสร็จสิ้นการหารือกับ โต เลิม (To Lam) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะประกาศว่าสหรัฐฯ เพิ่งทำข้อตกลงการค้ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ทั้งนี้ การประกาศของทรัมป์มีขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 9 ก.ค. 2568 ก่อนที่จะเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นเอกลักษณ์ของพรรครีพับลิกัน
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน เม.ย. 2568 ทรัมป์ตั้งใจจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตราร้อยละ 46 ขณะที่ข้อตกลงล่าสุดนั้นรายละเอียดยังมีไม่มาก ยังไม่ชัดเจนว่าภาษีนำเข้าอัตราร้อยละ 20 ของทรัมป์จะนำไปใช้กับสินค้าใดบ้าง หรือสินค้าบางรายการจะเข้าข่ายภาษีนำเข้ารวมที่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการหารือกันในภายหลังว่าข้อกำหนดการขนส่งใหม่ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในจีนเป็นส่วนใหญ่ แต่ติดป้ายว่า “เมดอินเวียดนาม” จะถูกนำไปปฏิบัติและบังคับใช้อย่างไร
รัฐบาลเวียดนามไม่ได้ยืนยันระดับภาษีศุลกากรที่เฉพาะเจาะจงในแถลงการณ์ที่แสดงความยินดีกับสิ่งที่เรียกว่าข้อตกลงในแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับกรอบการค้า โดยรัฐบาลเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามจะให้คำมั่นที่จะให้การเข้าถึงตลาดที่เป็นสิทธิพิเศษสำหรับสินค้าของสหรัฐฯ รวมถึงรถยนต์เครื่องยนต์ขนาดใหญ่
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ข้อตกลงระหว่างทั้ 2 ประเทศจะเป็นแรงผลักดันทางการเมืองสำหรับทรัมป์ ซึ่งทีมงานของเขาต้องดิ้นรนเพื่อปิดข้อตกลงกับหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุดของวอชิงตันอย่างรวดเร็ว ก่อนเส้นตาย ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะหยอกล้อเกี่ยวกับข้อตกลงที่กำลังจะมาถึงกับอินเดีย แต่การสงบศึกที่บรรลุก่อนหน้านี้กับอังกฤษและจีนนั้นมีขอบเขตจำกัด ส่วนการเจรจากับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 6 ของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดในทวีปเอเชีย ดูเหมือนว่าจะพบกับอุปสรรค
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การทูต และการทหารที่เติบโตขึ้นของทั้ง 2 ประเทศถือเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ อย่างจีน โดยเวียดนามได้พยายามรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ ราคาหุ้นของผู้ผลิตเครื่องแต่งกายและชุดกีฬารายใหญ่ของสหรัฐฯ รวมถึง Nike, Under Armour และผู้ผลิต North Face อย่าง VF Corp ปิดตัวสูงขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2568 หลังผลการเจรจากับเวียดนามปรากฏเป็นข่าว
ในการเจรจาระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศ แลมยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยอมรับเวียดนามว่าเป็นเศรษฐกิจแบบตลาด และยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกผลิตภัณฑ์ไฮเทคไปยังประเทศนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นสิ่งที่เวียดนามเรียกร้องมานานแล้ว ขณะที่ทำเนียบขาวและกระทรวงการค้าของเวียดนามไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอความคิดเห็นเพิ่มเติม
นับตั้งแต่ทรัมป์ใช้มาตรการกำแพงภาษีกับสินค้าจากจีนมูลค่าหลายแสนล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกระหว่างปี 2560 – 2564 การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าจากเวียดนามไปยังสหรัฐฯ เนื่องจากผู้นำเข้าพยายามหาทางแก้ไขในกรณีที่จีนเรียกเก็บภาษีจากจีน
ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา การส่งออกของเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า โดยจากต่ำกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 มาเป็นประมาณ 137,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 แต่ในทางกลับกัน ข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ชี้ว่า การส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นเพียงประมาณร้อยละ 30 ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 เป็นมากกว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2567
แดน มาร์ติน (Dan Martin) ที่ปรึกษาธุรกิจที่ Dezan Shira & Associates บน LinkedIn กล่าวว่า 'การขนส่งทางเรือ (Transshipping) เป็นคำศัพท์ที่คลุมเครือและมักถูกทำให้เป็นการเมืองในการบังคับใช้กฎหมายการค้า ซึ่งคำจำกัดความและการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติจะกำหนดอนาคตของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า ย้อนไปในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ทรัมป์ได้ประกาศกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายชาติทั่วโลก ก่อนจะระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีส่วนใหญ่จนถึงวันที่ 9 ก.ค. 2568 ซึ่งบรรดาประเทศต่างๆ กำลังเจรจากับรัฐบาลทรัมป์อย่างจริงจังเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าส่งออก อาทิ อังกฤษยอมรับมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ร้อยละ 10 สำหรับสินค้าหลายรายการ รวมถึงรถยนต์ เพื่อแลกกับการเข้าถึงเครื่องยนต์เครื่องบินและเนื้อวัวอังกฤษเป็นกรณีพิเศษ
เช่นเดียวกับข้อตกลงที่ทำกับอังกฤษเมื่อเดือน พ.ค. 2568 ข้อตกลงที่ทำกับเวียดนามก็ดูเหมือนกรอบการทำงานมากกว่าข้อตกลงการค้าขั้นสุดท้าย ขณะที่จีนและสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศพักรบในสงครามภาษีตอบโต้ โดยจีนคืนสิทธิการเข้าถึงแร่ธาตุหายากบางส่วนให้กับสหรัฐฯ แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างปล่อยให้ความขัดแย้งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในการเจรจากันในภายหลัง
เมอร์เรย์ ฮีเบิร์ต (Murray Hiebert) ผู้ช่วยอาวุโสฝ่ายโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสถาบันคลังสมอง CSIS กล่าวว่า หากทรัมป์ยังคงใช้มาตรการภาษีนำเข้ากับจีนในอัตราร้อยละ 46 ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีนำเข้ากับจีนในปัจจุบันมาก เวียดนามเกรงว่าตนจะเสียเปรียบคู่แข่ง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) สิ่งนี้น่าจะทำให้ความไว้วางใจของเวียดนามที่มีต่อสหรัฐฯ ลดลง และอาจลดความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ ลงบ้าง
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี