14 ก.ค. 2568 นสพ.The Hindu ของอินเดีย เสนอรายงานพิเศษ My brother had confessed to killing his daughter: Slain tennis player Radhika Yadav's uncle ว่าด้วยเหตุฆาตกรรม รัตติกา ยาดาฟ (Radhika Yadav) หญิงวัย 25 ปี อดีตนักเทนนิสดาวรุ่งชาวอินเดีย เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2568 โดยผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านพัก 2 ชั้นของครอบครัวในย่าน Sushant Lok ในเขต 57 ของเมืองคุรุคราม ในรัฐหรยาณาของอินเดีย และในเวลาต่อมามีรายงานว่า ดีปัก ยาดาฟ (Deepak Yadav) ชายวัย 49 ปี พ่อแท้ๆ ของรัตติกา รับสารภาพว่าเป็นคนลั่นไกสังหารลูกสาวของตนเอง
วิชัย ยาดาฟ (Vijay Yadav) พี่ชายของดีปัก ผู้ต้องหา และลุงของรัตติกา ผู้ตาย เปิดเผยกับสื่อเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2568 ว่า ครอบครัวของดีปัคมีฐานะดี ดีปักได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเองแล้ว และจะไม่มีการลงโทษใดที่หนักหนาสาหัสไปกว่าการสำนึกผิด ทั้งครอบครัวต่างตกตะลึง รัตติกาเองก็อยากทำงานในวงการโฆษณาและเป็นนางแบบ เธอแต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง และทุกคนในครอบครัวก็มีความสุขกับเรื่องนี้
วิชัย ยังกล่าวด้วยว่า ผู้ต้องหารักลูกสาวของตนเองมาก ไม่เพียงแต่ทุ่มเงินหลายล้านรูปีให้กับอาชีพของเธอเท่านั้น แต่ยังอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับเธอด้วย ขณะที่เพื่อนสนิทของ ดีปัก ให้ข้อมูลว่า ดีปักยอมรับว่าตนเองทำผิด เพราะแม้จะภูมิใจในตัวลูกสาวแต่ก็ไม่อาจรับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่นๆ ได้ มีการสนทนาทาง WhatsApp ระหว่างราธิกา กับโค้ชของเธอ อาเจย์ ยาดาฟ (Ajay Yadav) ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าอดีตนักเทนนิสรายนี้พูดถึงการออกจากบ้านไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และยังพูดคุยถึงการเดินทางไปต่างประเทศด้วย ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่านักเทนนิสสาวรายนี้กับพ่อของเธอมีเรื่องทะเลาะกัน แต่ตำรวจได้ชี้แจงแล้วว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการสอบสวน
แหล่งข่าวที่เป็นนายตำรวจระดับสูงนายหนึ่งให้ข้อมูลว่า หลังจากที่รัตติกา ยาดาฟ ได้รับบาดเจ็บที่ไหล่เมื่อประมาณ 1 ปีก่อน จึงคิดจะเลิกเล่นเทนนิสและหันไปประกอบอาชีพอย่างอื่นแทน ตอนแรกผู้ตายตัดสินใจเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อสังคมออนไลน์ แต่ต่อมาก็เลือกที่จะอยู่ในวงการเทนนิสต่อไปโดยเปลี่ยนบทบาทจากผู้เล่นมาเป็นโค้ช และรัตติกาได้บอกกับดีปักว่าจะไม่ทำสิ่งใดที่จะทำให้ผู้เป็นพ่อเสื่อมเสียชื่อเสียงในสังคม
สำนักงานตำรวจเมืองคุรุคราม ยืนยันเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2568 ว่า รัตติกา อดีตนักเทนนิสดาวดังระดับรัฐผู้นี้ใช้สนามเทนนิสในสถานที่ต่างๆ เพื่อฝึกสอนนักกีฬารุ่นใหม่ๆ เพราะไม่มีสถานที่ของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีปักคัดค้าน โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่า แม้ดีปัก ผู้ต้องหาจะมีรายได้ของตนเองจากการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง แต่มักถูกคนรอบข้างพูดจาดูถูกว่าต้องให้ลูกสาวเลี้ยงดู โดยตำรวจให้ข้อมูลว่า 2 – 3 สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุสลดขึ้น ดีปักมีอาการซึมเศร้าจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามดังกล่าว
“รัตติกาไม่มีสถานที่ฝึกสอนเทนนิสเป็นของตนเอง เธอรับสอนผู้สนใจโดยการจองสนามเทนนิสตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งดีปักเคยขอให้หยุดทำเรื่องนี้แล้วหลายครั้ง แต่เธอปฏิเสธ นั่นเป็นประเด็นหลักระหว่างพ่อกับลูกสาว และผู้ต้องหาสารภาพว่าได้ยิงลูกของเขาเสียชีวิต” ข้อมูลจากทางตำรวจ ระบุ
วิโนด กุมาร (Vinod Kumar) สารวัตรประจำสถานีตำรวจเขต 56 เมืองคุรุคราม กล่าวว่า ส่วนเรื่องเล่าที่ว่าผู้ต้องหาไม่พอใจกับการที่ลูกสาวปรากฏตัวบนสื่อสังคมออนไลน์และมีความปรารถนาที่จะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงที่ลือกันไปว่ามิวสิกวิดีโอที่รัตติกาแสดงร่วมกับศิลปินอิสระเป็นเหตุให้ถูกพ่อลงมือสังหาร จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด โดยวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อปี 2566 ขณะที่ดีปัก ผู้ต้องหา ย้ำว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุมาจากการที่ไม่ต้องการให้ลูกสาวหาเงินจากการฝึกฝนนักกีฬาคนอื่น
รายงานการชันสูตรพลิกศพระบุว่า รัตติกา ยาดาฟ ถูกอาวุธปืนยิง 3 นัดเข้าที่หลัง และอีก 1 นัดที่ไหล่ พิธีศพของเธอจัดขึ้นที่หมู่บ้านของครอบครัวในเมืองวาซิราบัด เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2568 ขณะที่ญาติของผู้ตายให้ข้อมูลว่า ผู้ต้องหาสนับสนุนลูกสาวให้เล่นเทนนิสมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจที่ลูกสาวเลือกเดินสายฝึกสอนนักกีฬารุ่นใหม่ และขอให้เธอหยุดหลายครั้ง แต่รัตติกาก็ปฏิเสธ จึงนำมาสู่เรื่องสลดหดหู่ในครั้งนี้
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี