22 กันยายน 2568 สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาโพสต์แชร์บทความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "Samdech Hun Sen of Cambodia" ซึ่งเป็นโพสต์ของทางเพจ "U-Share2day" ซึ่งระบุว่าเป็นแพลตฟอร์มสื่อเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่กำลังเป็นกระแส นวัตกรรมล้ำยุค และอุปกรณ์ที่น่าสนใจ (อย่างไรก็ดี url ของเพจดังกล่าวใช้ชื่อว่า cambodiangirlspage) ซึ่งมีหัวข้อว่า "เหตุใดกัมพูชาจึงไม่ใช้อาวุธหนักตอบโต้การรุกรานของไทยในสงคราม 5 วัน?" และ "ไทยสามารถชนะสงครามกับกัมพูชาได้หรือไม่?"

บทความของ U-Share2day ระบุว่า เหตุใดกัมพูชาจึงไม่ใช้อาวุธหนักตอบโต้การรุกรานของไทยในช่วงสงคราม 5 วัน? คำตอบคือ กัมพูชามีกลยุทธ์ทางการสงคราม 3 ประการ

1. โดยทั่วไปแล้ว ในกลยุทธ์ทางการสงคราม ก่อนการรบขนาดใหญ่ เราต้องรู้จักข้าศึก ศึกษากลยุทธ์การรบ กำลังทหาร และขีดความสามารถทางอาวุธของข้าศึก

2. ศึกษาความสามารถในการต้านทานและตอบโต้ ซึ่งเปรียบเสมือนการรู้จักตนเอง เพื่อจัดสรรกำลังพลให้เพียงพอตามพื้นที่ป้องกัน เพื่อให้มั่นใจว่าการตอบโต้และป้องกันจะเหมาะสม 100%

3. ศึกษาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างพันธมิตรของข้าศึก เช่น อาวุธจำนวนมากที่ข้าศึกใช้มาจากสหรัฐฯ และตะวันตก หากเราตอบโต้เกินขอบเขต ย่อมเกิดปฏิกิริยาตอบโต้และการจัดหาอาวุธเพิ่มเติมให้ข้าศึกอย่างแน่นอน

ยกตัวอย่างเช่น หากเราใช้อาวุธของจีนยิงเครื่องบิน F-16 ของอเมริกาตก เห็นได้ชัดว่าสหรัฐฯ จะไม่พอใจ แล้วสหรัฐฯ จะช่วยจัดหาอาวุธเพิ่มเติมให้ไทยอย่างแน่นอน สงครามจะรุนแรงขึ้น และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ประกาศหยุดยิง แต่จะสนับสนุนไทยให้บุกกัมพูชา ดังนั้น การใช้กลยุทธ์การรบจึงต้องระมัดระวังและต้องใช้วิจารณญาณก่อน เพื่อที่จะได้ตอบโต้ในภายหลัง

U-Share2day เขียนต่อว่า ไทยสามารถชนะสงครามกับกัมพูชาได้หรือไม่? คำตอบคือ ไทยไม่สามารถชนะสงครามกับกัมพูชาได้ แต่อาจทำให้กัมพูชาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงด้วย 4 เหตุผล

1. ปัจจุบันอาวุธของกัมพูชากำลังได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย ​​ตราบใดที่มีเหตุผลที่เหมาะสมในการตอบโต้ อาวุธของกัมพูชาประกอบด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศ KS-1C และ QW-3 ซึ่งสามารถยิงเฮลิคอปเตอร์และโดรนของไทยตกได้ และปืนใหญ่ PHL-03, PHL-81, PHL-90B, BM-21, RM-70 และ SH1.155mm เป็นต้น อาวุธเหล่านี้ล้วนมีความสามารถในการระบุตำแหน่งฐานทัพและการเคลื่อนที่ของทหารข้าศึกได้หลากหลาย และสามารถทำลายล้างทุกสิ่งได้

2. กำลังทหารของไทยในปัจจุบันมีมากกว่ากัมพูชา แต่เมื่อพิจารณาถึงความสามารถของกองทัพกัมพูชาในการรบแนวหน้าและกองกำลังพิเศษของกัมพูชาแล้ว ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งกว่าไทยอยู่ดี รัฐบาลกัมพูชากำลังระดมกำลังพลเพิ่มเติม จึงกล่าวได้ว่า การต่อสู้ผ่านกำลังรบของกองทัพไทยนั้นไม่ได้เหนือกว่ากองทัพกัมพูชาเลย (ขออธิบายสั้น ๆ ว่า การรบในสนามรบไม่ใช่การใช้กำลังทหารนับหมื่นนายต่อสู้กันโดยตรง แต่กลยุทธ์การรบคือการแบ่งกำลังรบ รบแนวหน้า และเตรียมพร้อมรบ มีหลายกลยุทธ์ที่ต่างจากที่คิด ถ้ามีมากกว่าก็ชนะ)

3. ประสบการณ์และภูมิศาสตร์ พี่น้องชาวกัมพูชาอาจรู้จักประสบการณ์ของกองทัพกัมพูชาและภูมิศาสตร์ที่ชาวกัมพูชาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะชาวกัมพูชามีประสบการณ์การรบมาเกือบ 40 ปี ในเรื่องนี้ พวกเขามีความได้เปรียบเหนือกองทัพกัมพูชาถึง 50% เช่น การใช้อาวุธที่ไม่รู้จักทางภูมิศาสตร์ การเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยไม่รู้ยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์ การขนส่งและตัดเส้นทางเสบียงอาหาร เป็นต้น

4. โดยทั่วไป เมื่อข้าศึกบุก เรามักจะได้รับความสูญเสียที่ร้ายแรงกว่าฝ่ายที่ป้องกันตนเอง เช่น ทหารเสียชีวิต อาวุธเสียหาย การขาดแคลนอาหาร และการสูญเสียตำแหน่ง หากมีการตอบโต้หรือต่อสู้ในระดับสูง เราจะได้รับผลกระทบมากที่สุดอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงสรุปว่า ไม่ว่าไทยจะแข็งแกร่งเพียงใด หากเกิดสงครามขนาดใหญ่ ไทยจะรบได้ไม่เกิน 2-3 เดือน ซึ่งแตกต่างจากฝ่ายกัมพูชาที่จะยืนหยัดได้เป็นเวลานานหลายปี

ในสถานการณ์เช่นนี้ เรายอมรับการหยุดยิงเพื่อปกป้องสันติภาพ เราไม่สามารถใช้อาวุธได้ หากมีการใช้อาวุธ สหรัฐฯ และประชาคมโลกจะประณามกัมพูชา และสนับสนุนไทยในสงครามรุกรานกัมพูชาอย่างแน่นอน และพวกเรากัมพูชาก็จะเผชิญมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจากประชาคมโลกเช่นกัน 

ผู้เขียนของ U-Share2day ระบุว่า ขอให้ชาวกัมพูชาอดทนและไว้วางใจรัฐบาล เพราะรัฐบาลกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อทำสิ่งสำคัญหลายอย่างที่ท่านไม่อาจล่วงรู้ได้ เพื่อปกป้องชาติ แผ่นดินเกิด และสันติภาพ ชีวิตของประชาชน ความอดทนของท่านย่อมดีกว่าในยามสงบมากกว่ายามสงคราม และเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนผลงานของชาวกัมพูชา เพื่อให้เกษตรกรชาวกัมพูชา ชาวกัมพูชา และเศรษฐกิจของกัมพูชาเติบโต