นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย กับสองหนุ่ม คริส -กฤษฎิ์ และ ต๊อบ–กิตติเดช โชว์ไซส์กางเกงสมัยยังเป็นหนุ่มอ้วน
พญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ ผู้ก่อตั้ง เอเพ็กซ์ โปรฟาวด์ บิวตี้ (Apex Profound Beauty) ผู้นำด้านนวัตกรรมความงามเพื่อการดูแลผิวพรรณและรูปร่าง จัดงาน “ไฟท์ เดอะ แฟท ออฟ (Fight the Fat Off)” กระตุ้นให้คนไทยหันมาตระหนักและใส่ใจในสุขภาพด้วยการดูแลรูปร่าง โดยมี น.พ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมน และควบคุมน้ำหนัก แห่ง เอเพ็กซ์ โปรฟาวด์ บิวตี้ มาให้ความรู้เกี่ยวกับการกำจัดไขมันส่วนเกิน ผ่านการรับประทานอาหารที่ถูกวิธี และการออกกำลังกายที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้หนุ่มสาวได้มีรูปร่างสมส่วน ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการนำเสนอ 10 นวัตกรรมที่ช่วยลดไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วน พร้อมด้วยเหล่าเซเลบริตี้ที่อยากรู้เคล็ดลับหุ่นสวย ไร้ไขมันส่วนเกิน ร่วมชมงานคั่บคั่ง ณ สยามพารากอน
นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมน และควบคุมน้ำหนัก แห่ง เอเพ็กซ์ โปรฟาวด์ บิวตี้ เผยว่า ปัจจุบันปัญหาเรื่องของน้ำหนักเกิน หรือไขมัน เป็นปัญหาแก้ไขยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะมีทั้งไขมันตามตัวที่ผิว เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือที่หลายคนเรียกว่าห่วงยาง แม้กระทั่งต้นแขน ต้นขา หรือไขมันในเลือด และไขมันที่อยู่ในช่องท้องภายใน เป็นต้น ดังนั้น เมื่ออ้วนและมีไขมัน สาวๆ หลายคนจึงเลือกที่จะอดอาหาร ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อทำเป็นเวลานาน จะสามารถกลายเป็นไขมันชั้นในได้ ทำให้การรักษาจะยากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเวลาที่เราอดอาหารทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายจะเกิดการต่อต้าน แล้วดึงเอาไขมันกลับคืนไปสะสมไว้ในร่างกาย
“สิ่งที่ดีที่สุดเราจึงต้องหันมาดูแลในเรื่องของการควบคุมอาหาร ควบคุมจำนวนแคลอรี่แทน อย่างสาวออฟฟิตที่นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ ไม่ค่อยได้มีกิจกรรม รวมถึงไม่มีเวลาออกกำลังกาย ควรดูแลเรื่องของการรับประทานอาหารในปริมาณ 1,000 – 1,200 แคลอรี่ต่อวัน โดยอาหารที่ควรรับประทานควรเป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ อย่างถั่ว น้ำเต้าหู้ และเนื้อปลา งดแป้งและน้ำตาล อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตต่างๆ และควรงดอาหารมื้อเย็นด้วย
ผลที่ได้คือน้ำหนักที่ลดลงอย่างเห็นผลชัดเจน แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ จะทำให้ร่างกายเผาผลาญทั้งไขมันและกล้ามเนื้อออกไป เราจึงควรออกกำลังกายร่วมด้วย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และยังช่วยให้น้ำหนักที่ลดลงนั้นคงที่ ซึ่งการออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ช่วยบริหารหัวใจ อย่างการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือ ปั่นจักรยาน และควรทำอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ สลับกับการออกกำลังกายที่เน้นสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกเวทเบาๆ เล่นโยคะ หรือพิลาทิส 2 ครั้งต่อสัปดาห์”
นพ.สมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าวิธีที่ได้กล่าวมาจะเห็นผลแต่ก็ใช้เวลา การนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการลดน้ำหนักส่วนเกินจึงมีบทบาท โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะมีการวางแผนการดูแลรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ด้วยการตรวจวัดค่าไขมันชั้นนอก และไขมันชั้นใน เมื่อได้ผลค่าไขมัน จึงเข้าสู่ขั้นตอนของการวิเคราะห์วางแผนในการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมในการรักษาไขมันในแต่ละชั้น โดยจะดูตามความเหมาะสม เช่น ลักษณะไขมันที่คนไข้เป็น เป็นมานานหรือไม่ จากนั้นคนไข้มีเวลาในการรักษาไหม คนไข้คาดหวังผลในการรักษาเร็วแค่ไหน
ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก 2 หนุ่มนักธุรกิจเพื่อนซี้ คริส - กฤษฎิ์ ชวาลรัตน์ และ ต๊อบ - กิตติเดช จารุเสถียร มาเผยความรู้สึกจากคนที่เคยมีน้ำหนักตัวมากๆ จนวันนี้สามารถลดน้ำหนักมีรูปร่างที่เพียวสมส่วนขึ้น เริ่มจาก คริส - กฤษฎิ์ ชวาลรัตน์ ที่สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 47 กิโลกรัม เผยว่า “สมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกา เคยรับประทานยาลดความอ้วน ทั้งที่เวลานั้นมีน้ำหนักตัวอยู่ 65 กิโลกรัม แล้วเกิดโยโย่ขึ้นมาเป็น 122 กิโลกรัม จนเมื่อกลับมาที่ประเทศไทย เสื้อผ้าเริ่มไม่มีไซส์ การใช้ชีวิตเริ่มลำบากขึ้น ประกันชีวิตต่างๆ ไม่รับเป็นลูกค้า เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เกิน คุณแม่จึงแนะนำให้เข้ามารับการรักษา ได้มีการตรวจเลือดแล้วพบว่าตับเริ่มแย่ จึงเริ่มรักษาด้วยการปรับสมดุลของร่างกายด้วยการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร รวมถึงการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยลดไขมันส่วนเกิน ยอมรับว่าในตอนนั้นท้อมาก ผมใช้เวลารักษาอยู่ 2 ปีครึ่ง ปัจจุบันน้ำหนักผมอยู่ 75.5 กิโลกรัมครับ แต่ผมยังมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนักให้เหลือ 70 กิโลกรัม ตอนนี้ผมก็ยังใช้วิธีการควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย เพื่อรักษาน้ำหนัก แต่สิ่งที่ได้รับหลังการลดน้ำหนักคือ สุขภาพที่ดีขึ้น จากที่เคยเหนื่อยหอบง่าย หรืออาการนอนกรน เดี๋ยวนี้ไม่มีอีกแล้ว และยังทำให้บุคลิกของเราดีขึ้นอีกด้วยครับ”
ด้านเพื่อนซี้ ต๊อบ-กิตติเดช จารุเสถียร อีกหนึ่งหนุ่มที่พิชิตน้ำหนักได้ถึง 30 กว่ากิโลกรัม เผยว่า “ตอนนั้นผมมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 117 กิโลกรัม ออกกำลังกาย ยกเวท ตีแบดมินตัน จนน้ำหนักลดลงมาที่ 110 กิโลกรัม แต่ก็ขึ้นกลับไปใหม่เป็นอยู่แบบนี้ จนตัดสินใจไปพบคุณหมอเพราะแค่อยากมีร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์มมากขึ้น แต่เมื่อตรวจเลือดผลออกมาว่ามีน้ำหนักและไขมันส่วนเกิน คุณหมอก็บอกว่าได้ไม่ลดน้ำหนักให้เหลือเลขสองหลักมันเสี่ยง ผมจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษา โดยใช้เวลาประมาณ 10 เดือน ควบคุมอาหาร โดยการทานหลายๆ มื้อ พร้อมกับออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญ ซึ่งปัจจุบันน้ำหนักของผมอยู่ที่ 88 กิโลกรัม นอกเหนือจากน้ำหนักที่ลงแล้ว มีสุขภาพที่แข็งแรง มีเวลาได้ดูแลตัวเอง รับประทานอาหารดี ผมก็มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น และยังจะดูแลตัวเองแบบนี้ต่อไป เพื่อชีวิตที่ยืนยาวชึ้น สามารถทำงานและดูแลธุรกิจต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลถึงโรคร้ายที่จะเกิดจากความอ้วน”
พญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี