พูดถึงการทำงานของนักการตลาด หลายคนนึกภาพว่าพวกเขาคือ “ผู้วางแผน การบริหาร แนวคิด สินค้า การตั้งราคา การจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด สำหรับสินค้าบริการให้เกิดการแลกเปลี่ยนและสนองความพอใจให้ลูกค้า พร้อมกับทำให้องค์กรบรรจุเป้าหมายตามที่ต้องการ” หรือพูดง่ายๆว่า “ทำหน้าที่เป็นเฟืองจักรให้องค์กรหมุนไปอย่างต่อเนื่อง” นั่นเอง ฟังดูแล้วเป็นภาระหนักอึ้งเลยทีเดียว ยิ่งเป็นงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนหมู่มากอย่างศูนย์การค้าขนาดใหญ่ “เมกา บางนา” (Mega Bangna) ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมองเห็นความท้าทายในการประสานงาน และควบคุมการทำงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดของนักการตลาดมือโปร

เมื่อได้มาเยือนอาณาจักรชอปปิ้งไลฟ์สไตล์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เรามีโอกาสพบกับ หมอก-ณัฐพร รุ่งขจรกลิ่น รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (Vice President Marketing) บริษัท เอสเอฟ ดีเวลลอบเมนต์ ผู้บริหารศูนย์การค้าเมกาบางนา หลายเสียงการันตีว่าหนุ่มคนนี้คือเบื้องหลังความสำเร็จของเมกา บางนา ศูนย์การค้าที่เดินหน้าเสิร์ฟความสุขให้กับผู้บริโภคจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว

ณัฐพร บอกว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานประสบความสำเร็จ หนึ่งในนั้นต้องเกิดจากคนทำงานรู้สึกสนุก และท้าทายกับไอเดียและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เข้ามาอยู่เสมอ และจะดีที่สุด หากงานที่ทำอยู่ตอนนี้สามารถต่อยอดได้จากการสั่งสมชั่วโมงบินมาอย่างโชกโชน

เมื่อย้อนถามว่านักการตลาดหนุ่มคนนี้ สะสมแต้มการทำงานอะไรมาบ้าง ก็ต้องประหลาดใจในความวาไรตี้ของเนื้องาน เพราะเขาคลุกคลีทั้งวงการมาร์เก็ตติ้ง โดยดูแล Branding ของรองเท้า Nike ทั้งในไทยและสิงคโปร์ จึงได้เรียนรู้สายงานค้าปลีก (Retail) การตลาด และงานขายอย่างเต็มเหนี่ยว

ต่อมาก็ได้ทำงานที่บริษัทซินเจนทา (Syngenta) บริษัทผู้ผลิตพืชพันธุ์และสารเคมี ทำหน้าที่ดูแลการตลาดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์การค้าในต่างแดนทั้งฝั่งยุโรป อเมริกา และอเมริกาใต้อย่างบราซิล อีกทั้งยังเก็บเกี่ยวมุมมองจัดจ้านในสายงานโฆษณาที่ Leo Burnett และงานด้านสื่อมีเดียที่บริษัทแม่ของนิตยสาร Elle ดูแลภาพรวมของภูมิภาคเอเซียนอีกด้วย

“ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานในสายงานต่างๆ มาก่อน ดังนั้น การเข้ามาทำงานที่ เมกา บางนา ทำให้เราได้ทำงานด้านมาร์เก็ตติ้งเต็มที่ ได้ใช้ประสบการณ์ที่เราได้ทำมาหลายๆ ส่วน ช่วยผลักดันการตลาดที่นี่ไปถึงเป้าหมายได้ จริงๆ แล้ว ผมมีความมุ่งมั่น (Passion) ในงานค้าปลีกมานาน ประกอบกับที่นี่เป็นองค์กรระดับสากล เปิดช่องให้คนจากอุตสาหกรรมอื่นเข้ามาร่วมทำงานได้ ผมจึงได้รับคำแนะนำดีๆ และเรียนรู้ไปด้วยกัน”

ณัฐพร เล่าว่า การเรียนรู้ของเขาเริ่มต้นมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของ เมกา บางนา ในช่วงแรกๆ จึงทำให้เขามองเห็นรูปแบบการทำงานของศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่แห่งนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มาร์เก็ตติ้งหนุ่ม เผยว่า จากความเชี่ยวชาญของยักษ์ใหญ่ในวงการพัฒนาและบริหารศูนย์การค้าประเภทศูนย์การค้าแบบเปิดของไทย อย่างสยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ กับการร่วมลงทุนกับต่างชาติ อย่าง อิคาโน่ จากสวีเดน ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนชั้นนำระดับนานาชาติมากด้วยประสบการณ์และความรู้ องค์กรแห่งนี้จึงมีความหลากหลายทั้งแบบ Local และ International เป็น “ลูกผสม” ที่ดีในการทำงาน

จากโมเดลการลงทุนดังกล่าว ส่งผลถึงภาพการทำงานของบุคลากรของที่นี่  ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเมกา บางนา ก็ว่าได้ ณัฐพร เล่าว่า สิ่งสำคัญของการทำตลาดที่นี่ คือการใช้ Common Sense ไม่ต้องอิงตำรา เราเปิดโอกาสให้ทุกคนใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เกิดเป็นโมเดลงาน ต้องใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวให้มากที่สุด โดยมองจากตัวตนของเรา (เมกา บางนา) เป็นแกนหลัก แล้วค่อยๆ เอาจิ๊กซอว์การทำงานหลายๆ ส่วนมาเชื่อมต่อกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความแตกต่างไปพร้อมๆ กับสร้างเอกลักษณ์แบบ เมกา บางนา ขึ้นมาให้ได้

“พวกเราทำงานกันเป็นทีมและร่วมมือกันหลายๆ ฝ่าย เป็นองค์กรแนวราบ (Flat organization) ทุกคนมีโอกาสที่จะคิดงานร่วมกัน ทำงานร่วมกัน สนับสนุนการทำงานให้กัน แล้วเมื่อต้องนำเสนองานก็สามารถนำเสนอพร้อมทีมงานได้เลย ไม่ต้องไต่ระดับเสนองานตามลำดับขั้น (Top-down Direction) ซึ่งวิธีการแบบนี้ ทำให้สามารถดึงมุมมองใหม่ๆ และทักษะความสามารถเฉพาะ ความถนัด ของลูกทีมออกมาได้มากที่สุด ดังนั้น การคิดวางแผนนโยบายจึงสอดคล้องกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ต้องบอกว่า การทำงานของที่นี่แมทช์ (Match) กับตัวตนผมพอสมควรเลย เพราะด้วยโครงสร้างการทำงานแบบอินเตอร์เนชั่นแนล ก็เป็นการทำงานในแบบที่ผมเคยทำมาตลอด แต่เมื่อผมเข้ามาทำงานกับทีม ผมได้เห็นมุมมองที่แปลกใหม่ของลูกทีมอยู่ตลอดเวลา มันเลยสนุกที่จะต่อยอดงานไปเรื่อยๆ ถึงแม้ช่วงแรกมันจะท้าทายผมมากก็ตาม ซึ่งที่นี่ก็ตอบโจทย์ผมอยู่ดี เพราะผมต้องการมองหาความท้าทายอยู่แล้ว”

ณัฐพร เล่าต่อว่า เมื่อเขาไม่ได้มาจากงานชอปปิ้งเซ็นเตอร์ จึงรู้สึกกดดันตัวเองไม่น้อยเลย แต่เพราะการทำงานแบบทีมเวิร์ก และการยอมรับความแตกต่างของกันและกัน ก็ทำให้เขาทุ่มเททำงานให้กับที่นี่มาได้เกือบ 3 ปีแล้ว  อย่างไรก็ตาม  เขายอมรับว่า อาจต้องปรับเรื่องสไตล์การทำงานอีกเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เขาใช้เวลาการทำงานเหมือนคนทำงานทั่วไป แบบ Office Hour แต่พอมาอยู่องค์กรที่เป็นห้างค้าปลีก แน่นอนว่าช่วงเวลาพีค คือเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือจะทำงานของตัวเองได้ก็ต้องรอศูนย์ปิดก่อน เป็นต้น เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาก็ต้องถูกจัดสรรปันส่วนเสียใหม่

“หนึ่ง คือ ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลของการใช้ชีวิตทำงานและส่วนตัว (Work Life Balance) หรือการแบ่งเวลาการทำงานให้ดี สอง ใส่ใจกับหน้าที่ที่จะทำอย่างไรให้ เมกา บางนา มีความชัดเจน ต้องทำให้ทุกคนรู้ว่า เมกา บางนา คืออะไร ซึ่งแผนการตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ว่า ทีมงานฟันธงกันแล้วว่า พวกเขาต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า พร้อมทั้งตอบโจทย์ให้เป็นพื้นที่ใช้เวลาร่วมกันของครอบครัว

ปีนี้เราเน้นธีมความเป็นแฟมิลี่ อยากให้ เมกา บางนา เป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้เวลาร่วมกันได้ตลอดทั้งวัน เราอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เหมือนบ้าน ลูกค้าก็เหมือนแขกคนสำคัญของเรา โดยเราต้องใส่ใจรายละเอียดของลูกค้าแต่ละคาแรกเตอร์ แล้วนำมาสร้างสรรค์กิจกรรมที่ตรงใจให้พวกเขารับรู้ได้ในทันที เพื่อให้เราติดอันดับTop 5 เป็น Top of Mind อยู่ในใจของนักชอปทุกคน”

การสนทนาในครั้งนี้ ไม่ได้เฉลยให้รู้แค่ว่านักการตลาดทำอะไรเท่านั้น แต่ยังทำให้เราเข้าใจว่าวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรนั้นมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน เพราะสามารถหล่อหลอมความคิดนักมาร์เก็ตติ้งให้ผลิตงานสร้างสรรค์ และใช้ชีวิตสนุกกับงานไปพร้อมๆ กันได้ด้วย