เราทุกคนสามารถเป็น “ยักษ์” ได้ หากเราค้นพบแรงบันดาลใจสู่การ “ปลุกยักษ์” ในตัวเอง เช่นที่ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเดินทางและคนทำสารคดี ที่มาบอกเล่าประสบการณ์จากการเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก และได้พบเจอยักษ์มากมาย เพื่อจุดประกายให้ผู้ที่มาร่วมงาน “ไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม ครั้งที่ 5 (Night at the Museum 5) ตอนปลุกยักษ์” เทศกาลประจำปีของมิวเซียมสยาม ที่เปิดให้เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจสู่การเป็นยักษ์ที่เปี่ยมด้วยพลังสร้างสรรค์ ณ มิวเซียมสยาม ท่าเตียน
วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเดินทางและคนทำสารคดี เผยว่า “ผมมีโอกาสเดินทางไปมาแล้วเกือบทั่วทุกมุมโลก ทำให้ได้พบเจอกับยักษ์มากมาย ซึ่งยักษ์ในมุมมองของผมนั้น อาจจะไม่เหมือนยักษ์ในมุมมองของใครหลายๆ คนที่ยักษ์อาจหมายถึงพลัง หรือยักษ์คือคนที่ประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่มุมมองยักษ์ในแบบของผม คือมนุษย์อย่างเราๆ ที่เห็นได้ทั่วไปคนตัวเล็กๆ ที่โดนกดดันทั้งจากสภาพแวดล้อม หรือคนรอบข้าง แล้วสามารถก้าวข้าม นั่นคือยักษ์ในแบบของผม และก็เป็นยักษ์ในแบบของตัวคุณเอง”
จากการเดินทางที่ต้องไปทำสารคดี ทำให้ วรรณสิงห์ ได้ค้นพบยักษ์ 3 ประเภท ยักษ์แรก คือ ยักษ์ที่อยู่ในคนทั่วไป เป็นเหตุการณ์ที่เขาได้มีโอกาสเดินทางไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้พบกับกลุ่มเยาวชน คนหนุ่ม-สาว ที่คิดหาทางออกเรื่องบ้านเมืองเยอะมาก โดยมีการศึกษาประวัติศาสตร์ การเมืองต่างๆ เพื่อหาทางออกให้แก่ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการเดินทางไปในครั้งนั้น ทำให้เขาได้พบกับภาพที่น่าประทับใจ ที่หมู่บ้านตำบลทรายขาว จังหวัดปัตตานี ที่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ ที่มีคนมุสลิมและคนไทยพุทธอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก และอยู่มาหลายชั่วอายุคน โดยมีโอกาสถ่ายภาพร่วมกับโต๊ะอิหม่ามและหลวงปู่ ซึ่งทั้ง 2 ท่านเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก และเมื่อโตขึ้นทั้ง 2 ท่านต่างก็เป็นผู้นำในศาสนาของแต่ละศาสนาที่ตนนับถือ ซึ่งท่านทั้ง 2 แสดงให้เขาและทุกคนได้เห็นถึงยักษ์ ที่ยอมแพ้ต่อความเกลียดชังในใจ แต่เอาชนะความรู้สึกในใจของตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้รับรู้ว่า คนบางคนอยู่ในที่ที่ความรุนแรงมาถึงหน้าบ้าน แต่เขายังสามารถเอาชนะความเกลียดชัง และอยู่ร่วมกันด้วยความรักอย่างแท้จริง
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเห็นว่าเยาวชนอายุน้อยๆ ก็สามารถเป็นยักษ์ได้เช่นกัน เกิดขึ้นที่งานประชุม One Young World ประเทศไอร์แลนด์ เมื่อเดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา เป็นการประชุมผู้นำเยาวชนทั่วโลก 1,800 คน จาก 189 ประเทศ อายุ 18-30 ปี ที่มีความคิดว่าโลกจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ฉันจะเปลี่ยนมันให้ดีขึ้นให้ได้ มีเด็กหลายคนทำเรื่องน่ามหัศจรรย์มากๆ อย่างในไอร์แลนด์มีความขัดแย้ง โดยแยกเป็นไอร์แลนด์เหนือ และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ มานานเป็นร้อยปีได้ เขามีไอเดียอยากให้คนหันหน้ามาคุยกัน โดยเปิดคาเฟ่ขึ้นที่แห่งหนึ่ง แล้วจะถามคนที่มาคาเฟ่นี้ว่าอยู่ฝ่ายไหน และจับคนที่อยู่คนละขั้วมานั่งดื่มกาแฟด้วยกัน นี่คือไอเดียของเด็กอายุ 22-23 ปี ไม่เพียงเท่านี้ยังมีเด็กอายุ 27 ปี ที่ต้องการให้วัคซีนราคาถูกลง จึงคิดวิธีการสร้างซอฟต์แวร์ออกแบบวัคซีน และขายให้กับบริษัททำยายักษ์ใหญ่ของโลกในราคาไม่แพง เพื่อให้ต้นทุนโดยรวมของยาวัคซีนถูกลงที่ผ่านมา
“เวลาเรามองปัญหาอะไร เราจะอาจมองแค่เรื่องของเรา หรือในประเทศของเรา แต่อย่างในงานนี้นั้น ทำให้ผมได้เห็นถึงความคิดของเด็กๆ เหล่านี้ ที่ไม่ได้มองแค่แต่เรื่องของเราเท่านั้น แต่เขามองไปถึงทั้งโลก ทำให้ผมได้เห็นถึงคำว่าประชากรโลก มันเข้ามาในหัวผมจริงๆ ว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง และเยาวชนเหล่านี้ไม่ได้แค่พูดอย่างเดียว แต่เขายังลงมือปฏิบัติ ซึ่งในปีหน้าช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ การประชุม One Young World กำลังจะมาจัดในประเทศไทย โดยจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6”
ต่อมา ยักษ์ตัวที่ 2 ที่ วรรณสิงห์ ได้พบเจอ คือยักษ์ที่เป็นคนระดับโลก ที่ได้ไปสัมผัสมาจริงๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว อย่าง ท่านดาไลลามะ ซึ่งตอนนั้นเขายอมรับว่าตื่นเต้นและเกร็งมาก แม้จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่เมื่อท่านเดินเข้ามาในห้องที่สัมภาษณ์พร้อมเสียงหัวเราะที่บ่งบอกถึงความใจดี อาการเกร็งต่างๆ ของทุกคนในห้องหายไปทันที ด้วยเพราะความเมตตาที่แผ่ออกมาของท่าน เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก ในวันนั้นเขาได้เรียนรู้อะไรมากมายหลายอย่างผ่านการสัมภาษณ์ อย่างเรื่องของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์และหลายๆ ครั้ง ที่ทำรายการสารคดีที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ทำให้รู้ว่าศาสนาพุทธนั้นเป็นยักษ์ตลอดกาลเช่นเดียวกัน เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์สอนนั้น เป็นยักษ์ของจริง ที่ไม่สามารถล้มได้ ที่ไม่ว่าจะมีใครตั้งคำถามอะไร คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะมีคำตอบให้เสมอ
สุดท้าย ยักษ์ตัวที่ 3 คือยักษ์ที่เป็นสถานที่ ทุกวันนี้เราเล่นอินเตอร์เนต หรือกำลังนั่งสไลด์หน้าจอมือถือ เรากำลังบอกว่าเรานั้นเชื่อมต่อกับโลกภายนอกทั้งโลกได้ในมือ แต่หากคุณได้มีโอกาสเดินทางไปอย่างทุ่งหญ้าสะวันนา ในประเทศเคนยา แล้วเจอสิงโตกำลังนอนรออาหารอย่างม้าลายมาเดินผ่าน มันทำให้เขารู้สึกว่านี่แหละ โลกของจริง ที่มันใหญ่ยักษ์จนหาเส้นขอบเขตไม่เจอ หรือแม้กระทั่งป่าอเมซอน เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นป่าที่น่าอัศจรรย์ ที่เมื่อยิ่งเดินเข้าไปในป่า คุณจะเจอสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นแมงมุมที่ตัวใหญ่กว่ามือของเรา หรือหากล่องเรือในแม่น้ำ ก็จะเจอตะโขงลอยมาทักทาย
“ผมมองว่าแรงบันดาลใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่มีใครสามารถเป็นยักษ์ได้ตัวเองคนเดียว แต่ต้องอาศัยแรงบันดาลใจมาเป็นตัวกระตุ้น การออกไปดูโลกกว้างก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่จะทำให้เราได้พบกับแรงบันดาลใจ ได้เห็นอะไรมากมาย แม้ว่าผมจะมีประสบการณ์มากมายจากการเดินทางมาเยอะมาก แต่แรงบันดาลใจจากคนข้างตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนในครอบครัว ก็สำคัญเช่นเดียวกัน คนบางคนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลๆ เพื่อตามหาแรงบันดาลใจ บางคนแค่เดินใกล้ๆ ก็สามารถเห็นแรงบันดาลใจได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถสร้างความสมบูรณ์ของแรงบันดาลใจจากโลกภายนอก และแรงบันดาลใจจากคนใกล้ตัวเข้าไว้ด้วยกันได้หรือไม่ครับ”
จากคำบอกเล่าการ “ปลุกยักษ์” ในตัวของผู้ชายธรรมดาๆ คนนี้ ทำให้เราเชื่อว่า เมื่อเขาทำได้ คุณก็ทำได้ เพียงแค่เปิดใจมองให้กว้างแล้วคุณจะพบแรงบันดาลใจสู่การเป็นยักษ์ที่สมบูรณ์ในตัวเองได้ไม่ยากเลย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี